วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แนวรับแนวต้านของกราฟราคามีแรงดึงดูดกันนะครับลองมาดูกันเลย

เมื่อเราสังเกตุพฤติกรรมของราคาหุ้นบนกราฟหุ้น เราจะพบว่า ไม่ว่าจะเป็น Uptrend Downtrend หรือ Side way  ราคาหุ้นมักจะวิ่งเข้าหาจุดใดจุดหนึ่งเสมอ ถึงแม้ว่าราคาจะเลยจุดนั้นไปแล้ว ก็มักจะวกกลับมาที่จุดนั้นอีกในภาย หลัง

จุดที่ว่านี้เองคือสิ่งที่เราเรียกว่า แนวต้าน แนวรับ และพฤติกรรมของราคาหุ้นที่มักจะวิ่งเข้าหาแนวต้าน แนวรับนี้เอง ที่ทำให้ Thai Trader คิดว่า มันมีแรงดึงดูดต่อกัน

การได้มาซึ่งแนวรับแนวต้านนั้น มีหลายวิธีและ Thai Trader เขียนให้ดูเสมอๆว่าเราได้มาอย่างไร ทั้งจากบทความ หรือเพื่อนๆสามารถแกะจากกราฟที่ผมตีด้วยเช่นกัน ตอนนี้เราคงจะไม่พูดถึงการหาแนวรับแนวต้าน เพื่อนๆสามารถหาอ่านได้ในบล๊อกนี้เลย

   

ในส่วนของราคาจะมีลักษณะดังนี้

  • ถ้าราคาเป็นขาขึ้นราคานี้จะมีประจุเป็น +
  • ถ้าราคาเป็นขาลงราคานี้ก็จะมีประจุเป็น -

ในส่วนของแนวรับแนวต้านจะมีลักษณะประจุแบบนี้ครับ

  • แนวรับจะมีประจุเป็น -
  • แนวต้านจะมีประจุเป็น +
เมื่อเราตีกราฟแล้วได้แนวรับแนวต้านเรียบร้อย สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างราคาปัจจุบันและแนวรับแนวต้านจะเป็นแบบนี้ครับ

แนวรับอยู่ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน และแน่นอนแนวต้านอยู่สูงกว่าราคาปัจจุบัน โดยที่พฤติกรรมของแนวรับแนวต้าน ที่เกิดกับราคาจะขึ้นกับเทรนด์ของราคาโดยที่จะแยกดังนี้

เมื่อเทรนด์ของราคาหุ้นเป็นขาขึ้น(มีประจุ+) แนวรับจะดูดราคาลงมา ให้ยืนอยู่ที่แนวรับ (แนวรับมีประจุ-) ประจุต่างกันจะดึงดูดกัน

ในส่วนของแนวต้าน(มีประจุเป็น +) ในขาขึ้นนี้จะเป็น + เจอ + ดังนั้นแนวต้านจะคอยดันราคาไม่ให้ผ่านไปง่ายๆ

และในส่วนของขาลงก็จะเป็นคล้ายๆกันโดยที่ แนวรับจะคอยดันราคาในขาลงไว้ไม่ให้หลุดไปง่ายๆ (เป็น - เจอ -) ส่วนแนวต้านจะคอยดึงดูดราคาให้กลับขึ้นไปเทสเสมอๆ

ราคามักจะไม่ลอยอยู่ระหว่าง แนวรับแนวต้าน นานๆ มันจะวิ่งไปหาแนวรับแนวต้านที่ใกล้ที่สุดก่อนเป็นอันดับแรกครับ

แล้วแนวรับแนวต้านที่เราตีไว้มีพลังในการดูดหรือผลักราคาหุ้นแค่ไหนเราจะดูยังไง จะอธิบายให้ในตอนนี้แหละครับ

พลังของแนวรับแนวต้านมีมากน้อยแค่ไหนให้ใช้วิชาที่เราได้ศึกษามาก่อนหน้านี้มาวิเคราะห์ครับ หลักๆจะเป็นดังนี้

  • Elliott Wave เมื่อเวฟถึงจุดกลับตัวแล้วแนวรับเป็นเวฟอื่นแล้ว แนวรับหรือแนวต้านตอนนั้นจะมีแรงค่อนข้างมาก เช่น เมื่อนับเวฟขาขึ้นมาเจอเวฟ ที่ 3 แนวรับที่มีแรงมากที่สุดจะอยู่ที่ปลายยอดเวฟ 1  ตรงนี้มักไม่ค่อยหลุด จะถูกดูดมาตั้งหลักที่นี่เสมอ(ยกเว้นพลัง + ของขาขึ้นมีมากจริงๆ) 
  • การจับสัญญานของ เครื่องมือ oscillator ในส่วนนี้จะเป็นการจับสัญญาน convergence divergence ผมจะให้ความสำคัญกับส่วนนี้ที่สุด เพราะมันจะเป็น วิเคราะห์ อารมณ์ของคนในตลาดตอนนี้ได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น อุปสงค์ อุปทาน มากขึ้นหรือน้อยลงแล้วหรือยัง คนเริ่มซื้อน้อยลง แสดงว่าแนวต้านนี้ จะมีแรงสูง คนขายมากขึ้น แนวรับใกล้ๆนี้ก็จะมีแรงน้อยลงเป็นต้น ตรงส่วนนี้ เมื่อใช้ร่วมกับ Elliott wave จะยิ่งทำให้เราวิเคราะห์ความแข็งอ่อนของแนวรับแนวต้านได้แม่นยำที่สุดครับ อันนี้ให้ ขีดเส้นใต้ไว้เลยว่า ถ้าคุณจะเป็นนักวิเคราะห์เทคนิค อย่ามองข้ามส่วนนี้เด็ดขาด จังหว่ะเข้าออกที่ถูกต้อง เกิดมาจาก หัวข้อนี้แหละ
  • แนวรับซ้อนรับ แนวต้านซ้อนต้าน เหตุการณ์นี้จะเกิดเมื่อมีแนวรับแนวต้านที่มีนัยสำคัญสองอันขึ้นไป วางไว้ใกล้เคียงหรือเป็นจุดเดียวกัน เช่น แนวต้านจากเทรนด์ไลน์ ที่วางทับกันกับ เวฟ 5 จาก Elliot wave พอดี หรือ แนวรับจาก ema200 ที่วางทับกันกับ trend line และ Oscillator เกิดสัญญาน bullish divergence ร่วมด้วยอีก แบบนี้ก็แสดงว่าแนวรับนั้นโคตรแข็ง โคตรมีแรงผลักราคาสำหรับขาลงครับ

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแรงผลักแรงดูด จากแนวรับแนวต้านนั้นถูกเบรก คำตอบก็คือ เมื่อแนวรับหรือแนวต้านนั้นถูกเบรก ประจุของมันก็จะเปลี่ยนขั้วทันที เช่น ทีแรกแนวต้าน มีประจุเป็น + ในขาขึ้น เพราะงั้น แนวต้านนี้จะพยายามผลัก ราคาให้ลงไปหาแนวรับใช่ไหมครับ แต่เมื่อแนวต้านนี้ถูก เบรก มันก็จะกลับขั้ว จาก + เป็น - จากแนวต้านกลายเป็นแนวรับทันที

ถ้าก่อนนี้มันเป็นแนวต้านที่แข็งแกร่ง มันก็จะกลายเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน เช่น ราคาลงทำเวฟ 2 และมาเจอแนวต้านที่เป็นเวฟ 1 ซึ่งมี ema200 วางทับอยู่อีกชั้น แถมยังมีเทรนด์ไลน์ ของขาลงพาดเอาไว้อีกด้วย เราจะถือว่าตรงนี้เป็นต้านที่แข็ง เป็นต้านปลายเทรนด์ก่อนวิ่งเข้าสู่เวฟ 3 การเบรก ต้านนี้ ก็จะเป็นการ confirm ถึงการเปลี่ยนเทรนด์ ที่สำคัญ โดยปกติ Volume จะพุ่ง ทันที่ที่เบรกช่วยเป็นการ confirm ถึงการเปลี่ยนเทรนด์ และconfirm ว่า แนวต้านที่ถูกเบรกนี้ จะกลายเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งด้วยครับ(ช่วงนี้มีแนวนี้ตรึมลองไปหาดูกันในกราฟของหุ้นรายตัวไปครับ)

หลักการสำคัญในการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านหุ้นคือ

  1. เราต้องหาเทรนด์ของราคาหุ้นบนกราฟว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลง (ส่วน side way เดี๋ยวจะว่าอีกที)
  2. แนวรับแนวต้านจะทำ action กับลักษณะของตลาดจากข้อแรก
  3. ดูแรงของแนวรับแนวต้านนั้นๆว่าแรงแค่ไหน
  4. ถ้าถูกเบรกไม่ว่ารับหรือต้านมันจะกลับขั้วทันที
  5. โวลุ่มจะช่วยบอกว่าแนวรับแนวต้านอันไหนมีแรงมากกว่ากัน
รูปนี้จะเป็นตัวอย่างการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านของตลาดหุ้นไทยเรา set index ครับ




ตอนนี้เบรกต้าน1440 จึงกลายเป็นแนวรับ

แนวรับแถวๆ1340-1350 เป็นเวฟ3 เก่าเป็นแนวรับสำคัญมากเพราะเมื่อนับเวฟ ย่อยมันจะเป็นเวฟ 5 พอดี macdส่ง bullish divergence โวลุ่มก็เข้าถ้ามีการลงมาในช่วงเวฟc อีกรอบ ตรงนี้จุถือว่าเป็นแนวรับสำคัญครับ

1490 เป็นต้านต่อไปเป็นต้านซ้ำซ้อนนะมียอดเดิม 2 อันวางอยู่แถมใกล้ๆกันมีema200 พาดอยู่ เป็นเวฟ 4 เดิมด้วย ตรงนี้จึงเป็นต้านสำคัญของช่วงใกล้ๆนี้


1530 เป็นต้านสำคัญสุดของการกลับตัวนี้ราคาตรงนี้อาจจะเป็นจุดเวฟ b ที่อาจจะกลับตัวเป็นเวฟ cตรงนี้ต้องจับตามากๆ 61.8% เป็นจุดต้องระวัง ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ อาจจะลงไปถึง แนวรับแถวๆ1340-1350 ซึ่งก็คือส่วนที่เราถือว่าเป็นรับที่ดีจากรอบที่แล้วนั้นเอง

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น