วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สรุปความจากหนังเรื่องข้างล่าง inside job part 1



Inside job ถ้าใครยังไม่ได้ดูหรือดูแล้วยังงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น มาลองอ่านตรงนี้ได้ มันไม่น่าจะสปอยนะเพราะประเด็นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้ว และหนังเป็นแนวสารคดี ที่ต้องการชี้ให้รู้มากกว่า มองหารสชาติของเรื่องราวแบบหนังทั่วไป(ดูตัวอย่าง INSIDE JOB ที่นี้)

   
หนังชี้ให้เห็นถึงการคลั่งในความโลภ ซึ่งคนทั่วไปอาจจะคิดว่ามันคือความโลภของ คนในวอลสตรีทเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วมันก็คือทั้งประเทศเลย

"อเมริกันดรีม" นี่แหละคือการหลับฝันที่คนอเมริกันคิดเอาเองว่าเป็นฝันที่ดี อเมริกามีคำคำหนึ่งบอกว่า "อเมริกาเป็นดินแดนแห่งโอกาส" โอกาสนั้นทำให้คนคิดว่าทำอะไรก็รวยได้

เรื่องมันเริ่มเมื่อ พวกบริษัทในวอลสตรีทพยายามล๊อบบี้ ให้มีการผ่อนปรนทางการเงิน ประเด็นสำคัญคือผ่อนปรนเรื่องกู้ และเรื่องการสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ให้ง่ายขึ้น (ตรงนี้จำคำว่าล๊อบบี้ให้ดีนะ เดี๋ยวผมจะมาสรุปอีกทีใน part สุดท้ายว่ามันมีประโยชน์กับเรายังไง )

เรื่องกู้ง่ายขึ้น นี่เราคงเข้าใจกันหมด เรามาพูดเรื่องการสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินกันว่ามันคืออะไร และจะพยายามเปรียบเทียบให้เห็นเป็นสิ่งที่เข้าใจง่ายๆในชีวิตประจำวันครับ

ผลิตภณฑ์ทางการเงินที่ว่านี้ มันคือการสร้างสินค้ามาขายอย่างหนึ่ง ในอุตสาหกรรมปกตินักออกแบบผลิตภัณฑ์ จะออกแบบสิ้นค้า แล้ววิศวกร ก็จะเอาไปผลิต ออกมาให้ฝ่ายการตลาดเอาไปขาย

มันไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่ถ้าเขาจะใช้กระบวนการนี้สร้างผลิตภันฑ์อย่าง ขนม ยา น้ำอัดลม รถ โทรศัพท์ มาม่า เพราะเมื่อลูกค้าซื้อแล้วก็เอาไปใช้ กิน แล้วก็จบ

แต่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินพวกนี้คืออะไรที่ต่างออกไป ในเรื่องคือการนำเอา "หนี้" ซึ่งในทางการลงทุนถือว่าเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง (เพราะถ้าคนกู้กู้ไปแล้วจ่ายหนี้พร้อมดอกเบี้ย ก็ทำให้เงินเติบโตใช่ไหมล่ะ)

ไม่ว่าจะเป็นหนี้กู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ หนี้อเมริกันกูยืมเรียน หนี้ต่างๆนาๆ เขาล้วนแต่เอาไปมัดรวมกัน ปรุงแต่งรสสักหน่อยตามระบบของอนุพันธ์ แล้วเอาออกขายในตลาด โดยพิมพ์ยี้ห้อของแต่บริษัทที่ออกของติดไว้(บริษัท investment banker ต่างๆ) แล้วให้ชื่อของสินค้าชิ้นนี้ว่า อนุพันธ์ cdo หรือ "อนุพันธ์หนี"

ตอนนี้เราได้ผลิตภัทฑ์ทางการเงินตัวแรก คือ "อนุพันธ์หนี" การจะขายมันได้ มันต้องมีการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เปรียบให้เข้าใจง่ายๆ เมื่อคุณเอาบะหมี มาใส่ชูรส ใส่ซองแล้ว ถ้าจะขายให้คนซื้อไปต้มกินได้ คุณก็ต้องไปขอ "อย" คนซื้อจะได้มั่นใจ ว่ากินแล้วไม่ท้องเสีย

นาย กรีนสแปน กับ นายเบอนันเก้ ต่างมีส่วนร่วมในการรับรองว่า มาม่าห่อนี้ มีประโยชน์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ชาญฉลาด จะช่วยลดความเสี่ยง เสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจ เรียกง่ายๆแบบชาวบ้านก็คือ กินมาม่าห่อนี้แล้วร่างกายแข็งแรงอายุยืนหมื่นๆปีว่างั้นเถอะ

โปรยไว้สำหรับ part ต่อไปก่อน นอกจาก อย แล้ว จะให้ครบรสขายดี มันจะต้องมี แม่ช้อยนางรำ เปิบพิสดาร เชลชวนชิม มาจัดเรตติ้ง ให้มาม่า ของเจ้าต่างๆ คนจะได้มั่นใจว่า นอกจากกินแล้วท้องไม่เสีย ยังแซบถึงใจอีกด้วย บะหมี่ที่ชูรสหกใส่หลายๆซองนี้ จึงได้เรตติ้ง ความแซบระดับ aaa กันเป็นแถว มีเรื่องให้พูดยาว ว่าไอ้พวกแม่ช้อยนางรำ เปิบพิศดาร พวกนี้ ได้เงินจาก พวกพ้อค้า บริษัท investment banker ต่างๆด้วยหรือเปล่า ไว้ค่อยว่ากัน part ต่อไป

ตอนนี้เราได้รู้สักสินค้าทางการเงินตัวสำคัญตัวเดินเรื่องของเรื่องนี้แล้ว สินค้าตัวนี้มี อย อ่าหย่อย รับรอง แถม แม่ช้อยนางรำการันตีความแซบ

เดี๋ยว part ต่อไปจะมาพูดว่า มันไปพลาดกันตรงไหน คนอเมริกันถึงขี้แตกกันเป็นแถว คนอื่นๆทั่วโลก ก็ซวยปวดท้องไปด้วย มันมีประเด็นอยู่ในระบบการผลิตครับ การเริ่มให้กู้ง่ายๆในกลุ่มลูกหนี้ subprime นี่แหละตัวสำคัญ

ไว้เดี๋ยวมาต่อ part 2 ใครสนใจเรื่องนี้รับรองสนุก อย่าลืมติดตามครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น