วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มาเช็คกราฟ set นับเวฟไปพร้อมๆกัน จะได้ศึกษา elliott wave ไปด้วยกันครับ

เขียนบทนี้มาให้อ่านเพื่อให้เราเข้าใจตรงกันเรื่องของเทคนิคคอลในเพจ Thai Trader มันยาวหน่อยแต่รับรองว่าคุณจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

เห้ยไม่ใช่ละ คุณต้องได้ประโยชน์ดิ

มาดูเซทละเอียดๆกันหน่อยว่าจะกลับตัวหรือยัง พยายามเขียนให้ละเอียดอาจจะยาวหน่อยแต่ถ้าอ่านแล้วคิดตามรับรองได้ประโยชน์ ในการศึกษาด้วยแน่นอน

ไล่ตั้งแต่ แต่แถวๆ 1650 ตรงนั้นเป็นยอด ที่เราพูดถึงกันบ่อยแล้วในกราฟก่อนๆนะครับ ต่อไปจะเป็นส่วนเวฟ ขาลง

- ที่ 1 ตรงเลขนี้ก็คือเวฟ 1 ของขาลงนั้นเองเราเริ่มลาก fibo ที่นี่เพื่อคาดการณ์ ขนาดของเวฟ 2,3,4,5 ที่นี่

- ที่ 2 หรืออาจจะ b เป็นการเด้งไป 61.8% ของ 1 ตามตำราเป๊ะแล้วลงต่อ ส่วนนั้นทำไมถึงอาจจะ b เพราะเราตั้งสมมุติฐานได้ว่าอาจจะเป็นการพักแบบ abc สั้น ถ้าตรง 2 เป็น b แล้ว c มักจะจบแถวๆ 32.8 หรือ 61.8%

- ที่ i เราตั้งสมมุตติฐานได้ว่า เป็นเวฟแรกของเวฟ 3 ใหญ่ เราจะลาก fibo ที่  i เพื่อหาขนาดของ ii iii iv v ซึ่งเป็นเวฟ ย่อยของ เวฟ 3 ใหญ่ โดยขนาดที่วัดนี้ใช้ร่วมกับการวัดที่ 1 ถ้ามันใกล้เคียงกันที่ไหนที่นั้นจะเป็นแนวรับที่สำคัญนั้นเอง

- ที่ iii หรือ3 หรือc จุดนี้มีขนาด132.8% ของเวฟ ย่อย i และ 100% ของ เวฟ 1 มันใกล้เคียงกันถือเป็นหนึ่งในแนวรับที่ดี ซึ่งพอมันเด้ง สมมุติฐาน iii 3 c จึงเกิด แล้วทีนี้เมื่อเวลาจริงมาถึงทั้ง 3 ทางเลือกจะถูกตัดออกทีละข้อดังนี้ครับ จากนี้ไปถึง 4 ถ้ามีย่อลงมาอีก ทำนิวโลว์ c จะโดนตัดออกเป็นอันดับแรก นั้นหมายถึงว่ายังใช้จุดนี้ตัดสินไม่ได้ว่าเป็นเวฟ c สุดท้าย สิ่งที่จะเกิดคือ c ที่ต่ำกว่านี้ หรือเวฟ iv เกิดขึ้น และกำลังจะมีเวฟ v ตามมาซึ่ง v นี้ก็จะเป็นเวฟ 3 ไปด้วย

ความหมายก็คือเวฟ 3 ใหญ่ยังไม่จบนั้นเอง

- ที่ 4 ถ้าไปที่ 4 แล้วเบรกออกจากเทรนด์ไลน์ไปเลย จะตีได้ว่า ที่จุดที่เราคาดว่าจะเป็น c นั้นเป็นจริง และขาลงจบที่นั้นต่อไปนี้กลับเข้าสู่ขาขึ้นอีกครั้งนั้นเอง

แต่ถ้าราคาขึ้นไปจากตอนนี้จนถึง 4 แล้วลงอีก จะตีได้ว่า เวฟ 3 จบแล้ว แถวๆ 1524 การย่อลงครั้งนี้คือย่อไปเวฟ 5

   
เมื่อแกะเวฟและความเป็นไปได้ทั้งหมดแล้วเราก็ใช้ ตัวจับสัญญานที่เราถนัดมาช่วยย้ำว่าทางเลือกไหนเราควรให้น้ำหนักมากกว่ากัน ส่วนตัวผมชอบใช้ macd เมื่อเช็คดูแล้ว 60 120 240 นาที ล้วนแต่บอกว่าเป็นคอนเวอร์เจนซ์ ทั้งนั้น ส่วนใน timeframe day กำลังเริ่มจะจมน้ำ ใน timeframe 30 หรือน้อยกว่านั้นบอกไดเวอร์เจนซ์ ซึ่งเป็นสัญญานกลับตัวสั้น เพราะในtime frame สั้นๆแบบนั้น จำนวนแท่งเทียนที่เอาไปคำนวน ma เป็น macd นั้นไม่ได้ cover ช่วงเวลาทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นเวฟ แรกมา (ตรงนี้อ่านดีๆจะเข้าใจหลักการใช้ time frame ได้ดีขึ้นครับ)

เมื่อ timeframe หลักๆ คอนเฟิร์มว่า มันเป็นไดเวอร์เจนซ์อยู่ จึงให้น้ำหนักว่าจะเป็นการกลับตัวระยะสั้น เพื่อไปเทส iv หรือ 4 มากกว่าเพื่อน

โดยที่ เมื่อไปถึง 4 แล้วลงต่อแสดงว่า กำลังจะไปเวฟ 5 มีความเป็นไปได้ที่จะไปอย่างน้อยก็ที่เวฟ 3 นั้นเอง แล้วเมื่อลงไปต่ำกว่าเวฟ 3 แล้ว เราก็จะเริ่มเช็คสัญญานกันอีกรอบ ว่ามันมีไดเวอร์เจนซ์ ที่ตรงไหน โดยไล่แนวต้านตาม fibo หลักบวกกับ หาเวฟ ย่อยของเวฟ 5 เหมือนกับที่เราทำกับเวฟ 3 ที่ผ่านมานั้นเอง

จุดที่สำคัญไล่ไปจนถึง 161.8% ซึ่งเป็นท่องคลื่น 4 ของรอบใหญ่ก่อนหน้านี้ตรงนั้นถ้าลงไปถึงต้องจับตาสัญญานให้ดี


สรุปสำหรับเซท ถ้าจากกราฟเพียวๆไม่นับข่าวนับอะไร พวกนั้นเป็นปัจจัยส่วนตัวของใครของมัน กราฟยังไม่มีอะไรบอกว่ากลับเป็นขาขึ้น(แต่เทรนด์ใหญ่สุดนั้นเป็นขาขึ้นแน่นอนอยู๋แล้ว) ส่วนถ้ารีบาวด์สั้นนั้นแม่นแล้วสัญญานบอกมาจากไทมเฟรมที่น้อยกว่า 30 นาทีลงไป

สรุปส่วนเก็บตกความรู้ เวลานับเวฟต้องใช้สัญญานประกอบ ใครถนัดอะไรก็ใช้อันนั้น แต่จะใช้อะไรขอให้รู้ว่า สิ่งที่เราใช้อยู่มันสร้างมาจากอะไร ถ้ายังไม่รู้เซิจกูเกิลดูมีเยอะแยะ เมื่อรู้แล้ว เราจะรู้เองโดยอัตโนมัติว่า เราควรใช้timeframe ไหนในการจับสัญญานสำหรับเหตุการณ์นั้นๆ ต่อไปก็จะไม่มีคำถามอีกแล้วว่า ต้องใช้ไทม์เฟรมไหนในการเทรด

ในส่วนของกราฟราคา แนะนำให้ใช้ไทม์เฟรมที่ดูเวฟย่อยได้เข้าใจพอเหมาะที่สุด พอเหมาะคือแค่ไหน ก็คือ ถ้าคุณดูแล้วเห็นเทรนด์ที่เป็นเวฟย่อยในเวฟใหญ่ได้โดยที่ไม่ปวดหัวกับความรกของมัน ไทม์เฟรมนั้นเหมาะสมสำหรับใช้ดูราคาไล่เวฟแล้ว (คนละเรื่องกับใช้ไทม์เฟรมไหนในการจับสัญญานนะ)

คนส่วนมากมักเข้าใจว่าเทคนิคจะบอกว่าราคาจะขึ้นแล้ว จะลงแล้วราคาจะไปนั้นจะไปนี้ คนส่วนมากก็เลยไม่คิดว่าเทคนิคคอลมันมีเหตุผลพอที่จะใช้ในการซื้อขาย นั้นผิดถนัด ผมไม่ได้บอกว่าผิดที่ไม่คิดว่ามันมีเหตุผลนะ

เพราะว่าถ้าคิดว่าเทคนิคมันบอกว่าราคาจะขึ้นจะลงไปนั้นไปนี้ อันนี้ผมก็เชื่อเหมือนกันว่ามันไม่มีเหตุผล ใครทายแม่นปานนั้นก็อยากเห็นตัวจ๊ะๆ เหมือนกัน

แต่ที่จริงแล้ว เทคนิคเป็นการรวมชุดความน่าจะเป็นต่างๆที่เกิดขึ้น เมื่อเรารวบรวมความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นมาแล้ว สัญญานจะเป็นตัวให้น้ำหนักว่าทางไหนน่าสนที่สุด และเมื่อเวลาผ่านไปเหตุการณ์จริงต่างๆปรากฏ ขึ้นมา ความน่าจะเป็นที่ผิดทางต่างๆก็จะถูกตัดออกไปเรื่อยๆ ทางที่ถูกต้องก็จะปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

ใครจับตรงนี้ไปใช้บริหารความเสี่ยงของตัวเองได้ แค่นี้ก็อยู่รอดปลอดภัยแล้วครับ ตัดทางเลือกที่ผิดออกไป(คัทลอส) เดินไปตามทางที่ถูกเฉลยออกมาเรื่อยๆ(Let profit run) นั้นเอง

การนับเวฟ จะช่วยให้เราอยู่กับทางที่ถูก มากกว่า อยู๋กับทางที่ผิด ถ้าทำไปสักผัก แล้วเห็นว่าเราคัทบอยเหลือเกิน ก็ต้องรีบเช็คแล้วว่า เราเข้าใจตรงไหนผิดกัน

โชคดีมีเงินใช้ครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น