วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การอ่านกราฟหุ้นคืออะไร เทคนิคคอล คืออะไร เราได้อะไรจากกราฟหุ้น ต้องมาอ่านบทความนี้ก่อนครับ

บทความนี้ยาวหน่อย แต่ถ้าอ่านดีๆคุณจะเห็นว่ามันมีเหตุผลอะไรซ่อนอยู่ในเทคนิคคอล คุณจะเข้าใจว่าเราต้องมองหาอะไรจากกราฟ ถ้าเริ่มด้วยความเข้าใจตรงนี้ มันก็เหมือนเดินแบบมีทิศทางไม่มั่วซั่วว่าเรากำลังไปทางไหนกันแน่

ครั้งแรกที่เราดูกราฟ และพยายามใช้เทคนิคคอลในกราฟ เรารู้สึกว่ามันโคตรจะไร้เหตุผลใช่ไหม? ผมก็เป็นแบบนั้น แต่เมื่อศึกษาดีๆ มีอะไรหลายอย่างให้คิดต่อครับ

เริ่มท้าวความไปสมัยที่ผมเริ่มสนใจเทคนิคคอลแรกๆ อ่านหนังสือมาเห็นเขาแนะนำเรื่องเทรนด์ไลน์ เลยเปิดกราฟดูและลากตามหนังสือเลย ลากปุ๊บ พูดกับตัวเองว่าเห้ย พอมันมาชนแล้วเด้งจริงๆว่ะ ลากทิ้งไว้สักอาทิตย์ พอมันย่อกลับมา มันก็เด้งอีกเว้ยเห้ย นี่มันเป็นเวทย์มนต์แบบไหนกันเนี้ยยยย

ตะลึงนะครับ ผมไม่เข้าใจว่าไอ้เส้นเทรนด์ไลน์นี้มันไปมีอิทธิพลอะไรกับราคาหุ้นทำไมมาชนแล้วเด้ง มันเป็นเรื่องไร้เหตุผล ที่ดันเกิดขึ้นจริง ไปดูหลายๆตัวก็มีเกิดแบบนี้จริง

จากนั้นมาสักพัก ผมได้ไปงานแต่งเพื่อนคนนึงที่ขอนแก่น เลยนัดกับเพื่อนที่เริ่มเล่นหุ้นด้วยกันว่ามานอนโรงแรมเดียวกันเดี๋ยวกูมีอะไรดีๆให้ดู

เราก็หิ้วโน๊ตบุ๊คไปกันด้วย พอเข้าโรงแรมก็เปิดกราฟมาลากเส้นกันดู แล้วก็เห้ยๆจริงๆ(อีกครั้ง) มันเกิดขึ้นแต่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่รู้ว่าทำไมมันเด้งพอมาชนเทรนด์ไลน์ แล้วมันต้องไม่หลุดไม่อะไรไปง่ายๆ

แต่ถึงผมจะยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรมันเด้งได้ไง ผมก็ยังพยายามจะใช้มันอยู่ ก็เอาไอ้เจ้าเทรนด์ไลน์นี้แหละไปใช้ในการซื้อขาย ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าทำไมมันเด้ง

ผลปรากฏก็คือ ไม่เคยกำไรเลย เอาจริๆหุ้นขึ้น แต่ผมขาดทุน เพราะผมไม่รู้ว่าทำไมชนแล้วมันเด้ง และก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำไมชนแล้วมันหลุด อันนั้นยิ่งไม่รู้ ขาดทุนจนเซ็งเลยหันไปมั่วเหมือนเดิม

แต่ก็พยายามศึกษาต่อมาเรื่อยๆรวมถึงดูกราฟที่เขาตีโชว์ในยูทูป บ้างอะไรบ้างตามประสา

หลังจากนั้นก็ได้มาสร้างเพจสร้างอะไรเพื่อรวบรวมข้อมูลและศึกษามันจริงจัง และมาถึงตอนนี้ พอจะได้ข้อสรุปบ้างว่า เทคนิคคอลมันคืออะไร

มันคือการหารูปแบบของความไม่ยั่งยืนความไม่เที่ยงครับ มันไม่ได้เป็นการหาว่าหุ้นมาแตะเส้นแล้วมันจะเด้ง หุ้นมาตรงนี้แล้วมันจะขึ้น เส้นนี้ตัดเส้นนี้ ไปแน่ ไม่ใช่อะไรแบบนั้น

ในตลาดมีความไม่ยั่งยืนไม่เที่ยงอยู่อย่างน้อย 2 อัน
1 ความมั่นใจไม่เคยยั่งยืน
2 ความไม่มันใจคลุมเครือก็ไม่ยั่งยืนเหมือนกัน

เมื่อคนมั่นใจแล้ว มันจะเป็นการออกเดินทางไปสู่ความไม่มั่นใจ ยิ่งนานความไม่มั่นใจยิ่งมาก แล้วเมื่อไม่มั่นใจจนถึงที่สุด เราก็จะเริ่มเดินทางกลับไปหาความมั่นใจอีกที เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ

มันเป็นที่มาของทฤษฏีดาวน์(ในแบบที่ที่เข้าใจเหตุผล ไม่ใช่พูดแบบกำปั้นทุบดินว่า หุ้นขึ้นก็ลง ลงก็ขึ้นอะไรแบบนั้น) การกลับไปกลับมาของความมั่นใจกับไม่มั่นใจนี่แหละ มันมีลักษณะเป็นคลื่น ไม่ใช่เปลือกของคำพูดที่ว่าราคาหุ้นมันมีลักษณะเป็นคลื่น เพราะราคาหุ้นตอนนี้ มันไม่ได้ทำให้เกิดราคาหุ้นของวันถัดไป ความไม่ยั่งยืนไม่เที่ยงของสองสิ่งที่ว่านี่ต่างหากที่ทำให้เกิดราคาหุ้นของวันพรุ่งนี้

ความไม่ยั่งยืนนี้เป็นต้นกำเนิดของเทรนด์

1 เมื่อมั่นใจ เทรนด์ก็จะเป็นขึ้นหรือลงเต็มๆกำลัง มันใจว่าดีก็ขึ้น มั่นใจว่าแย่ก็ลงเต็มๆ แล้วอย่างที่บอกว่าเมื่อเริ่มมั่นใจก็คือการแพ็คกระเป๋าเพื่อเดินทางไปสู่ความคลุมครือครับ เมื่อเดินทางไปถึงจุดหนึ่งแล้วจะเกิดข้อ 2

2 ความคลุมครือ ไม่มั่นใจ มันก็คือช่วง side way มันเป็นช่วงที่คนไม่มั่นใจแล้วว่า จะไปต่อ หรือ เปลี่ยนเทรนด์ดี ราคาเลยไม่ไปไหน วิ่งออกข้างไปเรื่อยๆ และอย่างที่บอกเช่นกันว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงไม่มั่นใจ มันก็คือการเริ่มต้นเดินทางไปสู่ความมั่นใจ จะใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม ในที่สุดแล้วความจริงจะปรากฏ สุดท้ายแล้วความมั่นใจจะกลับมา ไม่ว่าจะมั่นใจว่าดีขึ้น ก็เป็นเทรนด์ขาขึ้น มั่นใจว่าเลวแน่ๆ แล้วก็เป็นเทรนด์ขาลง

ถ้าเราเข้าใจว่าตลาดมันมีสองอย่างนี้อยู่ และมันมีรูปแบบเกี่ยวพันกันยังไง เราจะรู้ว่าเรากำลังมองหาอะไรจากกราฟ และ เครื่องมือ เทคนิคคอลครับ

ในตลาดหุ้น ถือเป็น ออฟฟิสใหญ่ของกิเลส กิเลส ทำงานประจำอยู่ที่นี้ ความอยาก ความกลัว ที่เราได้รับ (ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของความมั่นใจกับความคลุมเครือ) ถูกส่งมาจากกิเลสนี่แหละ สิ่งที่เราต้องทำคือจับตากิเลส อย่าไปถูกสิ่งที่กิเลสหยิบให้บังตา

ในทางพุทธ ท่านก็บอกอยู่แล้วไม่มีอะไรยั่งยืน มีได้มีเสื่อม มีมั่งมีมียากจน มีทุกข์ เดี๋ยวก็มีสุข นี่เป็นสิ่งที่กิเลสสร้างขึนมาให้เรา ทั้งหมดนั้นท่านเลยบอกให้อย่าไปยืดติดกับมัน เพราะมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาถึงกันตลอด ที่ยกตัวอย่างนี้ไม่ใช่จะอ้างว่าตัวเองรู้เรื่องธรรมะดี หรือ เอาธรรมะ มาอ้างเพื่อชักนำให้เชื่อ

เพราะผมไม่ได้หวังให้เชื่อ การจะเชื่อหรือไม่คุณคิดวิเคราะห์เองดีที่สุด มันเป็นหน้าที่ของคุณไม่ใช่ผมแน่นอน

ความไม่เที่ยงไม่อยู่ไปเป็นอมตนิรันด์ มันเป็นธรรมชาติ มันเกิดขึ้นจริงนะ และตราบใดที่ยังมีมนุษย์อยู่ในตลาดหุ้น พนักงานกิเลสตัวเดียวกันนี้ ก็จะทำให้มันเป็นแบบนั้นไปตลอด นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไม ทฤษฏีดาวน์ ถึงถูกยอมรับมาเป็นร้อยๆปีแล้ว และทุกวันนี้ก็ยังใช้ได้(และยิ่งผู้เล่นมีมากเท่าไหร่ มันยิ่งใช้ได้ดีเท่านั้น เพราะไม่มีการฮั้ว การปั่นทำได้ยากถ้าแข่งกันเยอะๆ) ก็เพราะผีกิเลสที่สั่งใจคนอยู่ในตลาด มันผีตัวเดียวกันมาเป็นร้อยๆปีแล้วครับ มันยังอยู่ และจะอยู่ตลอดไป

เครื่องมือเทคนิคคอล เราเอามาไว้จับตาดูความไม่เที่ยงนี้แหละ มันไม่ได้เอามาใช้เพื่อดูว่าหุ้นขึ้น หุ้นลง ไปนั้น ไปนี่แน่ๆ

ทั้งหมดนี้มันเป็นที่มาของเทคนิคคอล
1 เวฟ ฟิโบ ไว้วัดระยะทางว่า ความมั่นใจมันมีมานานหรือยัง
2 PATTERNS มันเอาไว้ดูว่าเมื่อไหร่ ความไม่มั่นใจจะถูกเบรกออกไปเสียที เบรกขึ้นหรือลง ก็คือการไปสู่ความมั่นใจเช่นกัน
3 INDICATOR ต่างๆใช้วัดว่า การเปลี่ยนจากมั่นใจไปสู่ไม่มั่นใจได้เริ่มเกิดหรือยัง

วันนี้ Thai Trader คิดว่าพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมราคาหุ้นมันลงมาแตะเทรนด์ไลน์แล้วเด้ง เพราะจังหว่ะที่ลงมาแตะเทรนด์ไลน์ ความไม่มั่นใจบังเกิด สุดท้ายมันเด้ง เพราะความมั่นใจกลับคืนมา (ในทางที่ดี)

ในกรณีที่หลุดเทรนด์ไลน์ก็เหมือนกัน ตอนที่มันมาแตะเทรนด์ไลน์ ความไม่มั่นใจบังเกิด และแล้วความมั่นใจก็เกิด เมื่อมันเบรกลง

ความจริงมันง่ายๆแค่นั้นเอง มีสองอย่าง ที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือธรรมชาติ มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แล้วจะเกิดต่อไปเรื่อยๆในอนาคต

ในส่วนของVI ก็เป็นอีกอย่าง นะครับ แต่ก็ผีตัวเดียวกัน ความไม่เที่ยงของความมั่นใจเหมือนกัน แต่มีวิธีการดูอีกอย่าง ต่างจากการใช้เทคนิคคอลแค่นั้นเอง

อย่าไปมองหาสิ่งที่ไม่มี ทำความเข้าใจมันแล้วมองว่ามันเป็นไปยังไง มันเป็นธรรมชาติครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น