ก่อนอื่นเรามาดูว่าเทรนด์ไลน์บอกอะไรกับเราบ้างครับ Thai Trader ก็คงต้องบอกว่า ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นเทรนด์ มันก็ต้องบอกเทรนด์ของราคาหุ้นนั้นเอง
มันเป็นการบอกเราว่าหุ้นนั้นเป็นขาขึ้น(Up trend) ขาลง(Down Trend) หรือ side way นั้นเอง โดยในเทรนด์ที่ว่านั้นจะประกอบไปด้วยแนวรับแนวต้าน ที่ราคาแกว่งอยู่ ยกตัวอย่างในแต่ละ trend ดังนี้นะครับ
- Trend Line ใน Side way ตรงนี้จะเกิดขึ้นบ่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงพักตัวระหว่างที่จบเวฟ หรือการสร้าง pattern ต่างๆระหว่างจบเวฟ หรือแม้แต่ในช่วง ภาพใหญ่ ที่เป็น Side way หลักการลาก เราก็จะลาก จากจุดสูงสุดก่อนหน้า ไปจุดสูงสุดต่อไปที่มีนัยสำคัญ เป็นแนวต้าน ส่วนในแนวรับก็ทำเช่นเดียวกันกับจุดต่ำสุดครับ คำว่ามีนัยสำคัญเป็นยังไง ขั้นแรกให้เส้นนั้นมันผ่าน จุดสูงต่ำสุดร่วมหลายๆ จุด ที่สุด หรือ ให้ผ่านจุดที่มีโวลุ่มสูง หรือเป็นยอดหรือท้องของเครื่องมือที่บอกโมเมนตั้ม หรือจะให้ยิ่งดีกว่านั้น ให้ลากผ่านจุดยอดของเวฟแต่ละเวฟ พอลากเสร็จแล้วเราจะยิ่งเห็นลักษณะของ pattern นั้นชัดขึ้นไปอีก trend line ในช่วง side way นี้ เรื่องหลักที่เราจับตามอง ก็คือหาจังหวะ break out ไม่ว่าจะเบรกขึ้นหรือเบรกลง การเบรกขึ้นก็ราคาขึ้นเหนือเส้นเทรนด์ไลน์แนวต้าน เบรกลงก็ลงต่ำกว่าเทรนด์ไลน์แนวรับนั้นเอง break out side way trend line = การเบรก Pattern ถ้าใช้ร่วมกับ elliott wave และโมเมนตั้ม(oscillator และ Volume) จะยิ่งแม่นยำครับ และเพิ่มโอกาสให้กับเราได้มากครับ
- Trend Line ใน Uptrend เกิดขึ้นตอนไหน ก็เกิดขึ้นหลังจาก break out มาจากขอที่ 1 นั้นแหละครับ เราก็จะลาก จากจุดสูงสุดก่อนหน้า ไปจุดสูงสุดต่อไปที่มีนัยสำคัญ เป็นแนวต้าน ส่วนในแนวรับก็ทำเช่นเดียวกันกับจุดต่ำสุดครับ ในขาขึ้นนั้น เทรนด์ไลน์ที่สำคัญที่สุดคือ เทรนด์ไลน์แนวรับ ที่เป็นแบบนั้นเพราะว่า ในUp trend สิ่งที่เราจะจับตาก็คือ "ถึงเวลาขายหรือยัง" หรือ "จะเปลี่ยนเทรนด์หรือยัง" ดังนั้นเทรนด์ไลน์แนวรับ คือองค์ประกอบสำคัญอันหนึ่งในระบบที่เราใช้ trend line เป็นตัวหลักในการทำงานครับ ขาขึ้น ราคาต้องไม่หลุดเทรนด์ไลน์แนวรับ ถ้าหลุด ก็ไปว่ากันต่อใน plan b ของเราว่าจะเอายังไง
- Trend Line ใน Downtrend หลักการจะเหมือนกับ Trend Line ใน Uptrend ต่างกันตรงที่ เราจะให้ความสำคัญกับ trend line แนวต้านมากกว่า เพราะสิ่งที่เราจับตามองคือ การ break out เพื่อจบ Down trend นั้นเอง
จะเห็นว่า ประโยชน์ที่แท้จริงของ trend line คือการ จับตาการเปลี่ยน trend ของราคานั้นเอง break out side way ก็ไป uptrend หรือ down trend เป็นต้น
ในเทรนด์หลัก จะมี เทรนด์ย่อยซ่อนอยู่ เวลาดูให้ดูกว้างๆหลายๆ time frame ให้ครอบคลุม time frame ใหญ่ กลาง เล็ก เราจะได้ไม่ถูกหลอกว่า ที่ขึ้นหรือลงตอนนี้ เป้นขึ้นยาวลงยาวจริงหรือไม่ครับ ไม่ใช่ว่าแค่ขึ้นในขาลง ดันอัดเต็มแม็ก พอถึงต้าน เทรนด์ใหญ่ยังลงต่อ ก็หน้าแห้งกันไปครับ
สิ่งที่จะ confirm การเปลี่ยนเทรนด์ คือ โมเมนตั้ม ให้ใช้ร่วมกันจะยิ่งเพิ่มความแม่นยำ
ถ้าเรื่องหุ้นนี้เป็นหนัง ตอนนี้เราได้ดารามาแล้ว 2 คน
1 เส้น Moving Average ตัวนี้ถือว่า เป็นดาราสมทบชายยอดเยี่ยม ใช้ง่ายไม่ซับซ้อน
2 เส้น trend line ตัวนี้ก็ถือว่าเป็นดารา สมทบหญิงยอดเยี่ยม ใช้ง่ายไม่แพ้กัน และยังเข้าใจง่ายกว่า ma ด้วยซ้ำ
ต่อไปเราจะพูดถึง พระเอกนางเอกของเรื่อง สองตำแหน่งนี้ผมยกให้ ดังนี้อาจจะไม่เหมือนพระเอกนางเอกในใจเพื่อนๆ แต่เดี๋ยวก็ลองอ่านปรับใช้กับเรื่องของเพื่อนๆเองนะครับ
นางเอกเป็น โมเมนตั้ม (การจับโวลุ่ม หรือเช็คสัญญาน oscillator พวก macd rsi) นางเอกจะทำหน้าที่ confirm ให้การสนับสนุนพระเอกว่ามาถูกทางแล้ว เป็นช้างเท้าหลัง ที่ถ้าไม่มีก็เดินไม่ได้ครับ
พระเอกผมยกให้ Elliott wave เป็นตัวหลักที่พาเราเดินเรื่อง เป็นตัวละครที่ รู้จัก ผู้คน เหตุการณ์ ต่างๆดีที่สุด (อย่างน้อยก็เท่าที่ผมรู้ตอนนี้นะ มันอาจจะไม่เหมือนกับเพื่อนๆท่านอื่น แต่คิดว่าอ่านไว้ น่าจะช่วยต่อยอดได้ไม่เสียหลาย)อย่าคิดว่า Elliott wave ยาก และอย่ากลัว ตีเวฟ ผิด ถ้าเราเข้าใจว่ามันคืออะไรใช้ทำอะไร การตีเวฟผิดนั้นแหละถูกต้องแล้ว เพราะเราไม่สามารถทำทิศทางที่เป็นไปได้ทั้งหมด ให้เป็นทิศทางที่ถูกต้องทุกทางได้ มันจะถูกแค่ทางเดียวเท่านั้น หน้าที่เราคือเก็บทุกทางที่เป็นไปได้ แล้วไปถามนางเอกของเราอีกที ว่าทางไหนมีสิทธิ์ ถูกมากกว่ากัน
และสุดท้าย ถ้าขาดตัวละครตัวนี้ เรื่องทั้งหมดนี้จะไม่เกิดเลย นั่นก็คือ ตัวร้าย ตัวที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่มีตัวนี้ ก็ไม่มีนางเอก พระเอก แล้วเราทุกคนก็ไม่รู้จะมาเล่นหุ้นกันทำไม ตัวนี้โผล่มา นางเอก พระเอก และนักแสดงสมทบทุกตัว ต้องร่วมมือกันครับ
ตัวนี้ยังไม่เฉลยว่าเป็นอะไรยังไง ไว้ติดตามกันต่อไป รับรองมันส์ และไม่เหมือนกับที่ทุกท่านเคยผ่านตามาจากการอ่านที่อื่นแน่นอนครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น