วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การวิเคราะห์หุ้น มีหลากหลายวิธี น่าจะมีการถกกันว่ามีข้อดีข้อเสียอะไรบ้างนะครับ

ผมคิดมานานมากว่าอยากโพสเปิดหัวข้อถกกัน ว่า "เทคนิคคอล มีอะไรดี แล้วการวิเคราะห์พื่นฐานมีดียังไง" แบบว่าเอาแบบสร้างสรรค์ เถียงกันเพื่อให้ได้ข้อคิดว่า เราหยิบข้อดีอันไหนมาใช้ได้บ้าง แล้วควรต้องระวังหรือเลี่ยงอะไร อะไรประมานนั้น 

ไม่ใช่เถียงกันว่าวิธีนั้นมั่ว คนนี้ถูก ซึ่งแน่นอนมันไม่จบไม่สิ้น มันไม่มีอันไหนถูกผิด แต่ละวิธีมีข้อดีต่างกันไป ข้อเสียต่างกันไป อยู่ที่ว่าเรามองยังไง(ในมุมมองผมสองวิธีนั้นมันมองหาผลลัพธ์ที่ต่างกัน อยู่ที่ว่าเราอยากได้ผลลัพธ์อย่างไร)
   


ผมก็มีความคิดเรื่องนี้อยากแชร์ ด้วยเหมือนกัน เยอะแยะ และอยากฟังแนวคิดจากเพื่อนๆ อีกมากมาย เพราะคนเดียวบางทีมันมองไม่รอบด้านเนอะ การได้ฟังแลกเปลี่ยนกันแบบสร้างสรรค์ นี้มันคือการเปิดโลกโดยแท้ครับ

แต่เห็นจาก เว็บของท่านหนึ่ง (ซึ่งแกมีแนวคิดที่ดีมากเลยในการลงทุนหรือเกร็งกำไรด้วย ผมก็ไปตามอ่านบ่อยๆ) พอพูดเรื่องนี้ปุ๊บ มักวงแตก กลายเป็นกระแนะกระแหนกัน บรรยากาศ ของความอยากรู้หดหายไปเลย รั้งจะผิดใจกันเสียเปล่าๆ

เลยไม่กล้าโพสสักที การถกกันของสองเรื่องนี้ จากความคาดหวังแรก แบบสร้างสรรค์ สุดท้ายมันจะกลายไปเป็นโศกสรร ซะงั้น แทบจะพูดได้ว่า

"ในวงเหล้าอย่าพูดเรื่องการเมือง" "ในวงหุ้นอย่าพูดเรื่องวิธีการวิเคราะห์"

ผมไม่แน่ใจว่าเราเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว หรือว่า มันเพิ่งมาเกิดขึ้นเมื่อตอนมีการแบ่งสีแบ่งข้าง อะไรแบบนี้

ถ้าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็เท่ากับว่า ความรู้ที่เราควรได้รับหายไปละครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งที่เหลือก็อยู่ที่เราจะศึกษามันได้เข้าใจมากแค่ไหน

การศึกษาอะไรมันไม่ได้เป็นการศึกษาเพื่อหาสิ่งที่ถูกต้องอย่างเดียว ผมว่าเกินครึ่งของการศึกษาต่างๆในโลกนี้ ก็ศึกษาเพื่อให้จะได้เจอสิ่งที่ผิดพลาดที่ซ่อนอยู่ครับ

แล้วถ้าเราไม่สามารถ ยอมรับหรือพูดถึง ข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ่นนั้นได้ มันก็ฟังดูยังไงๆ ก็ไม่น่าจะเป็๋นการพัฒนาตัวเองที่ดี

Thai Trader เองอาจจะดูเทคนิคคอลจ๋า แต่ไม่เคยปิดตัวเองเลยที่จะศึกษาในเรื่องอื่น ทุกวันนี้ก็ศึกษาหมด ทุกทาง(แบบว่าผม ไม่ค่อยมีงานเป็นหลักเป็นแหล่งเลยอาจจะเป็นคนที่ว่างกว่าคนอื่นเสมอ 555) แต่อาจจะทำได้ไม่ดีในทางวิเคราะห์พืนฐานสักเท่าไหร่ เลยไม่กล้าเอามาพูดมาก เพราะมันจะไม่ใช่แค่ปล่อยไก่ ช้าง ม้า วัว ควาย จะถูกปล่อยออกมาด้วย

ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้มีแอดมินอีกท่าน ที่พร้อมจะคุยกันกับพวกเราทุกคน ในทางการวิเคราะห์พื่นฐาน เอามาไว้เถียงกันแบบสร้างสรรค์ คงจะดีไม่น้อยเลย ทั้งต่อตัวผม และ มีประโยชน์ กับเพื่อนๆในเพจทุกท่านด้วย

เพื่อนๆคิดว่ายังไงกันบ้างครับผม หัวข้อ วิธีการวิเคราะห์ นี้เราควรพูดคุยกันในนี้ได้ไหม 

ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ทางแก้ปัญหาการขาดทุนของเกษตรกร

เห็นข่าว ประท้วงราคายาง แล้วเหนื่อยแทน พ่อแม่พี่น้องเกษตรกร เรื่องราคากับต้นทุนนี่มันไม่จบไม่สิ้น เดี๋ยวยางประท้วงจบ ก็มีอย่างอื่นอีกมาประท้วงต่อ หอมแดงเอย ลำไยเอย ข้าวเอย ไข่เอย เรียกได้ว่าสินค้าแทบทุกอย่าง

เมืองนอกนะเขามีตลาดฟิวเจอร์เพื่อให้คนผลิตของต่างๆ ไม่ว่าจะสินค้าเกษตร หรืออะไรก็ตาม สามารถ คิดคำนวนต้นทุน กำไรได้ตั้งแต่ยังไม่ได้ปลูก เลย

สมมุติคิดแล้วว่าจะปลูกข้าวเดือนนี้ เกี่ยวอีกสี่เดือนข้างหน้า จะมีสัญญาฟิวเจอร์ให้เราละ เรารู้ตอนนี้เลยว่าสีเดือนข้างหน้าข้าวที่กำลังจะปลูกเนี้ย จะขายได้เท่าไหร่ เป็นอย่างน้อย

เมื่อรู้ว่าจะได้เท่าไหร่เป็นอย่างน้อย ก็มาดูว่าสามารถปลูกในต้นทุนแค่นั้นได้ไหม ถ้าได้ก็ทำ ไม่ได้ ก็ไม่ดันทุรังทำ

พอถึงวันเก็บเกี่ยวมาก็มาดูสัญญาฟิวเจอร์เรา ว่าจำเป็นต้องใช้สิทธิไหม เป็นต้น

   
คือทำแบบนี้กำไรแน่ๆ มีแต่จะกำไรมากกำไรน้อยแค่นั้น ถ้าจะขาดทุนก็รู้ตั้งแต่ก่อนปลูกแล้ว ถ้ายังดันทุรังปลูก ก็แสดงว่ายอมรับการขาดทุนนั้นได้ เขาถึงไม่ค่อยมีเอาไข่ เอาหมู มาทิ้ง มาฆ่าอยู่หน้า สภาไง

ส่วนบ้านเราก็มีฟิวเจอร์เกษตร แต่มันยังไม่บูม ทั้งๆที่บ้านเมืองเราทำเกษตร เยอะแยะมาก สินค้าให้ทำมีเยอะแต่บูมตรงนี้ไม่ได้ อาจจะเพราะเกษตรกรบ้านเราไม่เหมือนเมืองนอก มักเป็นรายย่อยตัวน้อยๆ ถ้าตรงนี้เป็นปัญหา รัฐก็มีหน่วยงานที่จะไปช่วยได้เยอะแยะ

สหกรณ์เอย เกษตรอำเภอเอย ให้หน่วยงานพวกนี้มีเทรดเดอร์ ทุกที่ คอยประกาศราคาฟิวเจอร์ ให้เกษตรกร รายย่อยเขารู้ เขาจะได้วางแผนได้ว่าปลูกข้าวตอนนี้ ต้นทุนเท่านี้ อีกสี่เดือนมันจะชิบหาย หรือ รุ่งเรื่อง

มันเป็นการดึงเขาให้เข้ามาเรียนรู้เรื่องฟิวเจอร์นี้ด้วย เพราะคุณปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ ตราบใดที่เรายังอยู่ในระบบทุนนิยมนี้ มันหนีไม่พ้น

ราคาไข่มันโดนกำหนดมาแล้วตั้งแต่แม่ไก่ตัวที่จะออกไข่นั้นยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ แล้วไหงเรายังไปจ่ายเงินเลี้ยงแม่ไก่ด้วยต้นทุนที่แพงกว่าราคาไข่มันได้ซะชิบ

ไอ้คำพูดที่ว่ายา ปุ๋ยมันแพงจะได้เลิกพูดกันสักที ถ้ารู้ว่าจะขายได้เท่านี้แล้วยังไปเพิ่มต้นทุนให้ขาดทุนอีกก็อาจจะต้องบอกว่าแย่มากๆละ

การจะไปรับจำนำเอย ประกันราคาเอย ทำไปเถอะ ถ้าทำแบบนี้ต้องทำทั้งชาติ มันจะไปแก้ปัญหาได้ยังไง ยิ่งทำยิ่งเข้าป่า มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงจริงๆเลย

ถ้าไม่เริ่มดึงเกษตรกรเข้ามารับรู้ว่ามันมีฟิวเจอร์แบบนี้อยู่ ใช้งานมันได้ยังไง มีประโยชน์กับเรายังไง เรื่องประท้วงอะไรแบบนี้ก็คงไม่จบลงง่ายๆ ยิ่งไปอัดเงินช่วย ตอนเขาประท้วง ก็เหมือนเป็นการเชิญเขาออกมาประท้วงอีกในอนาคต เพราะออกมาประท้วงแล้วได้เงินเลย ไม่ต้องคิดอะไรง่ายดี

ฟิวเจอร์เมืองนอกเขาสร้างขึ้นมาให้เกษตรกรมีกำไร คุมกำไรได้

ฟิวเจอร์เมืองไทยสร้างมาให้ราคาสินค้าวิ่ง แล้ว สุดท้ายคนรับเคราะห์ขาดทุนคือเกษตรกร เพราะไม่รู้เรื่องเลยว่ามันมีแบบนี้

เริ่มจริงจังกับตรงนี้ตั้งแต่วันนี้ เกษตรกรเขาจะได้เริ่มพัฒนาความรู้เรื่องฟิวเจอร์ ที่มันสำคัญไม่แพ้วิชาเกษตร เสียที

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ค่าเงินบาทกับการกลับตัวทิศทางของตลาดหุ้นไทย


เราคงได้ยินได้เห็นเหตุผลที่ทำให้หุ้นตกจากหลายๆที่ไม่ว่าจะมาจากตัวเลขเศรษฐกิจ หรือ เรื่องแผ่นเสียงตกร่องอย่าง QE จะเลิกไรพวกนั้น ผมจินตนาการไม่ถึงเรื่องพวกนั้น อันนี้เลยหยิบมาให้ดูเหตุผลเป็ดๆไก่ๆ เหตุผลบ้านๆ สไตล์ Thai Traderบ้าง

เมื่อนานมาแล้วหลายเดือนก่อนผมเคยโพสเรื่องค่าเงินบาทกับเงินฝรั่ง ยกตัวอย่างตาริชาร์ด แล้วผมก็เอาไปเก็บไว้ที่บล๊อกเป็นโพสนี้ ความสำพันธุ์ระหว่างหุ้น เงิน ทอง ฝรั่งเข้าแล้วทำไมถึงออก ออกแล้วฝรั่งจะไปไหนมาดูกัน
   


ในโพสนั้นผมพยายามพูดในเชิงเปรียบเทียบแบบบ้านๆ โดยอุปมาอุปไมย ตาริชาร์ด เจ็งที่บ้านตัวเองหอบเงินช่วยเหลือหนีมาเที่ยวพัทยา เมื่อไหร่ตาริชาร์ด จะกลับ อันนั้นไปอ่านเอาเอง

ประเด็นคือ การแลกเงินมาลงทุน ค่าเงินของเขาต่อค่าเงินของบ้านเรา มันเป็นเหตุเป็นผลกันกับกำไรที่จะได้รับ เมื่อเห็นฝรั่งเป็นคนทุบ เราก็ต้องมาดูที่ค่าเงินนะครับ

ยิ่งหุ้นขึ้น == ยิ่งได้กำไร
ยิ่งเงินบาทอ่อน == ยิ่งกำไรลดลง

2 อันนี้มีความสัมพันธ์เป็นเหตุเป็นผลกัน

การขายการทุบหุ้น เพื่อไปซื้อ เงินดอล ก็เพื่อ ปกป้องกำไรของเขา ตรงๆ ง่ายๆ แค่นี้แหละ สองเดือนที่ผ่านมา วัดใจกันระหว่าง เงินกับหุ้น ไม่มีใครชักดาบฟันจะๆ ทั้งสองฝั่ง ทั้งเงิน ทั้งหุ้น เลยออกไปเป็นไซด์เวย์ ที่ทำ pattern ก่อนที่จะเบรก
เพราะเรามีฝรั่งอยู่ด้วย ความสำพันธ์เลยเป็นแบบนี้

เงินเบรกขึ้น == หุ้นต้องเบรกลง
เงินเบรกลง == หุ้นต้องเบรกขึ้น

2 อันนี้มีความสัมพันธ์เป็นเหตุเป็นผลกัน

เริ่มกันเลยจากรูปกราฟ ดูกราฟฝั่งขวา ก่อน เป็นระดับ week เส้นสีแดงแนวนอน เป็นแนวต้าน สำคัญ ที่ 32 บาท ต้านก่อนหน้านี้เป็นเส้น ema 200 วัน ซึ่งหลายๆคนให้ตรงนี้เป็นจุดวัดขาขึ้น ถ้าเบรกยืนเหนือได้ก็ ตีว่ามีโอกาสเป็นขาขึ้นสูง แล้วมันก็เบรกมายืนเหนือแล้ว นั้นเป็นเฟตุให้ คนที่ต้องถือเงินบาทตอนนี้เป็นกังวล ว่ามูลค่าเงินของเรากำลังจะลด ณ ตอนนี้ ดังนั้น เหลืออีกที่เดียว 32 บาทต่อ 1 $ ตรงนี้ถ้าเบรกได้อีก อาจจะบรรลัย กับตลาดหุ้น

ข้ามมาดูกราฟ day ทางฝั่งซ้าย จะเห็นว่าถ้า ลากเทรนด์ไลน์ ของ pattern ที่เป็น side way up ต้านก็จะอยู่ 32 บาท พอดี macd พอได้ลุ้นว่าจะไม่ผ่าน(แต่ก็แค่ได้ลุ้นนะ พลังอ่อนไม่ได้หมายถึงราคาต้องหยุด)

ตรงเส้น fibo 161.8% นั้นเป็นแนวรับ แนวต้านแถวๆ 200% หรือ32 บาท ต้านเดียวกันทั้งสอง TIMEFRAME มันก็คอนเฟิร์มกันว่าเป็นแนวต้านชี้ขาดครับ เบรกยากหน่อยแต่เบรกได้ก็แสดงถึงความแรง

สิ่งที่คนซื้อดอลล่าต้องทำตอนนี้

ทุบหุ้นให้ต่ำเตี้ยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะสุดท้ายแล้ว

1 ถ้าเงินบาทไม่เบรก 32 ขึ้นไป ก็จะได้แลกเป็นเงินไทยกลับ(กำไรดอกที่ 1เพราะได้เงินบาทเพิ่มจากเดิม) เพื่อจะมาซื้อหุ้นที่ทุบ ไว้ถูกๆ (กำไรดอกที่ 2เอาเงินบาทที่ได้มาซื้อหุ้นที่ถูกกว่าตอนขาย)

2 แต่ถ้าเบรก 32 ไปได้ สงสัยจะยาว

ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่า สถาบันจะมาแบ่งเบาภาระ ช่วยกันกับเม่า ให้มากๆ ถ้าสถาบันพยายามซื้อช่วย หุ้นจะได้ไม่ลงไปต่ำมาก ฝรั่งจะได้เริ่มเห็นว่ากำไรดอกที่ 2 ของเมิง ไม่ง่ายอย่างที่คิดนะโว้ยยย

ซึ่งคิดว่า สภาบันเขาก็มีหุ้นในมือพอตัว ขอแค่ไม่ขาย ซื้อบ้างนิดๆหน่อยๆ ก็อาจจะ ช่วยได้ครับ


ค่าเงินเป็นตลาดที่มักจะมีการแข่งขันแบบเต็มที่คือโดยทั่วไปมักไม่มีเจ้าลาก แต่ค่าเงินบ้านเรามันไม่ใหญ่เหมือนของประเทศผู้นำโลก ฝรั่งกลุ่มใหญ่ๆเข้ามาก็มีผลมากได้ วันดีคืนดี รัฐ นึกคึกเข้าไปแทรกแซง ก็มีผลกับราคามากเช่นกัน

ดังนั้น เมื่อเลือกทิศทางที่เป็นไปได้มาแล้ว อย่าไปเชื่อหรือหวังว่าจะเกิดขึ้นจริง กับทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากเกินไป เตรียมรับมือให้มากๆ



คุณมองหาอะไรใน เทคนิคคอล คุณเริ่มศึกษาถูกทางหรือยัง มานี้ ที่นี้มีคำตอบ

บทความนี้ยาวหน่อย แต่ถ้าอ่านดีๆคุณจะเห็นว่ามันมีเหตุผลอะไรซ่อนอยู่ในเทคนิคคอล คุณจะเข้าใจว่าเราต้องมองหาอะไรจากกราฟ ถ้าเริ่มด้วยความเข้าใจตรงนี้ มันก็เหมือนเดินแบบมีทิศทางไม่มั่วซั่วว่าเรากำลังไปทางไหนกันแน่

ครั้งแรกที่เราดูกราฟ และพยายามใช้เทคนิคคอลในกราฟ เรารู้สึกว่ามันโคตรจะไร้เหตุผลใช่ไหม? ผมก็เป็นแบบนั้น แต่เมื่อศึกษาดีๆ มีอะไรหลายอย่างให้คิดต่อครับ

เริ่มท้าวความไปสมัยที่ผมเริ่มสนใจเทคนิคคอลแรกๆ อ่านหนังสือมาเห็นเขาแนะนำเรื่องเทรนด์ไลน์ เลยเปิดกราฟดูและลากตามหนังสือเลย ลากปุ๊บ พูดกับตัวเองว่าเห้ย พอมันมาชนแล้วเด้งจริงๆว่ะ ลากทิ้งไว้สักอาทิตย์ พอมันย่อกลับมา มันก็เด้งอีกเว้ยเห้ย นี่มันเป็นเวทย์มนต์แบบไหนกันเนี้ยยยย

ตะลึงนะครับ ผมไม่เข้าใจว่าไอ้เส้นเทรนด์ไลน์นี้มันไปมีอิทธิพลอะไรกับราคาหุ้นทำไมมาชนแล้วเด้ง มันเป็นเรื่องไร้เหตุผล ที่ดันเกิดขึ้นจริง ไปดูหลายๆตัวก็มีเกิดแบบนี้จริง

จากนั้นมาสักพัก ผมได้ไปงานแต่งเพื่อนคนนึงที่ขอนแก่น เลยนัดกับเพื่อนที่เริ่มเล่นหุ้นด้วยกันว่ามานอนโรงแรมเดียวกันเดี๋ยวกูมีอะไรดีๆให้ดู

เราก็หิ้วโน๊ตบุ๊คไปกันด้วย พอเข้าโรงแรมก็เปิดกราฟมาลากเส้นกันดู แล้วก็เห้ยๆจริงๆ(อีกครั้ง) มันเกิดขึ้นแต่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่รู้ว่าทำไมมันเด้งพอมาชนเทรนด์ไลน์ แล้วมันต้องไม่หลุดไม่อะไรไปง่ายๆ
แต่ถึงผมจะยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรมันเด้งได้ไง ผมก็ยังพยายามจะใช้มันอยู่ ก็เอาไอ้เจ้าเทรนด์ไลน์นี้แหละไปใช้ในการซื้อขาย ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าทำไมมันเด้ง

ผลปรากฏก็คือ ไม่เคยกำไรเลย เอาจริๆหุ้นขึ้น แต่ผมขาดทุน เพราะผมไม่รู้ว่าทำไมชนแล้วมันเด้ง และก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำไมชนแล้วมันหลุด อันนั้นยิ่งไม่รู้ ขาดทุนจนเซ็งเลยหันไปมั่วเหมือนเดิม

แต่ก็พยายามศึกษาต่อมาเรื่อยๆรวมถึงดูกราฟที่เขาตีโชว์ในยูทูป บ้างอะไรบ้างตามประสา

หลังจากนั้นก็ได้มาสร้างเพจสร้างอะไรเพื่อรวบรวมข้อมูลและศึกษามันจริงจัง และมาถึงตอนนี้ พอจะได้ข้อสรุปบ้างว่า เทคนิคคอลมันคืออะไร

มันคือการหารูปแบบของความไม่ยั่งยืนความไม่เที่ยงครับ มันไม่ได้เป็นการหาว่าหุ้นมาแตะเส้นแล้วมันจะเด้ง หุ้นมาตรงนี้แล้วมันจะขึ้น เส้นนี้ตัดเส้นนี้ ไปแน่ ไม่ใช่อะไรแบบนั้น

ในตลาดมีความไม่ยั่งยืนไม่เที่ยงอยู่อย่างน้อย 2 อัน
1 ความมั่นใจไม่เคยยั่งยืน
2 ความไม่มันใจคลุมเครือก็ไม่ยั่งยืนเหมือนกัน

เมื่อคนมั่นใจแล้ว มันจะเป็นการออกเดินทางไปสู่ความไม่มั่นใจ ยิ่งนานความไม่มั่นใจยิ่งมาก แล้วเมื่อไม่มั่นใจจนถึงที่สุด เราก็จะเริ่มเดินทางกลับไปหาความมั่นใจอีกที เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ

มันเป็นที่มาของทฤษฏีดาวน์(ในแบบที่ที่เข้าใจเหตุผล ไม่ใช่พูดแบบกำปั้นทุบดินว่า หุ้นขึ้นก็ลง ลงก็ขึ้นอะไรแบบนั้น) การกลับไปกลับมาของความมั่นใจกับไม่มั่นใจนี่แหละ มันมีลักษณะเป็นคลื่น ไม่ใช่เปลือกของคำพูดที่ว่าราคาหุ้นมันมีลักษณะเป็นคลื่น เพราะราคาหุ้นตอนนี้ มันไม่ได้ทำให้เกิดราคาหุ้นของวันถัดไป ความไม่ยั่งยืนไม่เที่ยงของสองสิ่งที่ว่านี่ต่างหากที่ทำให้เกิดราคาหุ้นของวันพรุ่งนี้

ความไม่ยั่งยืนนี้เป็นต้นกำเนิดของเทรนด์

1 เมื่อมั่นใจ เทรนด์ก็จะเป็นขึ้นหรือลงเต็มๆกำลัง มันใจว่าดีก็ขึ้น มั่นใจว่าแย่ก็ลงเต็มๆ แล้วอย่างที่บอกว่าเมื่อเริ่มมั่นใจก็คือการแพ็คกระเป๋าเพื่อเดินทางไปสู่ความคลุมครือครับ เมื่อเดินทางไปถึงจุดหนึ่งแล้วจะเกิดข้อ 2

2 ความคลุมครือ ไม่มั่นใจ มันก็คือช่วง side way มันเป็นช่วงที่คนไม่มั่นใจแล้วว่า จะไปต่อ หรือ เปลี่ยนเทรนด์ดี ราคาเลยไม่ไปไหน วิ่งออกข้างไปเรื่อยๆ และอย่างที่บอกเช่นกันว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงไม่มั่นใจ มันก็คือการเริ่มต้นเดินทางไปสู่ความมั่นใจ จะใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม ในที่สุดแล้วความจริงจะปรากฏ สุดท้ายแล้วความมั่นใจจะกลับมา ไม่ว่าจะมั่นใจว่าดีขึ้น ก็เป็นเทรนด์ขาขึ้น มั่นใจว่าเลวแน่ๆ แล้วก็เป็นเทรนด์ขาลง

ถ้าเราเข้าใจว่าตลาดมันมีสองอย่างนี้อยู่ และมันมีรูปแบบเกี่ยวพันกันยังไง เราจะรู้ว่าเรากำลังมองหาอะไรจากกราฟ และ เครื่องมือ เทคนิคคอลครับ

ในตลาดหุ้น ถือเป็น ออฟฟิสใหญ่ของกิเลส กิเลส ทำงานประจำอยู่ที่นี้ ความอยาก ความกลัว ที่เราได้รับ (ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของความมั่นใจกับความคลุมเครือ) ถูกส่งมาจากกิเลสนี่แหละ สิ่งที่เราต้องทำคือจับตากิเลส อย่าไปถูกสิ่งที่กิเลสหยิบให้บังตา

ในทางพุทธ ท่านก็บอกอยู่แล้วไม่มีอะไรยั่งยืน มีได้มีเสื่อม มีมั่งมีมียากจน มีทุกข์ เดี๋ยวก็มีสุข นี่เป็นสิ่งที่กิเลสสร้างขึนมาให้เรา ทั้งหมดนั้นท่านเลยบอกให้อย่าไปยืดติดกับมัน เพราะมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาถึงกันตลอด ที่ยกตัวอย่างนี้ไม่ใช่จะอ้างว่าตัวเองรู้เรื่องธรรมะดี หรือ เอาธรรมะ มาอ้างเพื่อชักนำให้เชื่อ

เพราะผมไม่ได้หวังให้เชื่อ การจะเชื่อหรือไม่คุณคิดวิเคราะห์เองดีที่สุด มันเป็นหน้าที่ของคุณไม่ใช่ผมแน่นอน

ความไม่เที่ยงไม่อยู่ไปเป็นอมตนิรันด์ มันเป็นธรรมชาติ มันเกิดขึ้นจริงนะ และตราบใดที่ยังมีมนุษย์อยู่ในตลาดหุ้น พนักงานกิเลสตัวเดียวกันนี้ ก็จะทำให้มันเป็นแบบนั้นไปตลอด นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไม ทฤษฏีดาวน์ ถึงถูกยอมรับมาเป็นร้อยๆปีแล้ว และทุกวันนี้ก็ยังใช้ได้(และยิ่งผู้เล่นมีมากเท่าไหร่ มันยิ่งใช้ได้ดีเท่านั้น เพราะไม่มีการฮั้ว การปั่นทำได้ยากถ้าแข่งกันเยอะๆ) ก็เพราะผีกิเลสที่สั่งใจคนอยู่ในตลาด มันผีตัวเดียวกันมาเป็นร้อยๆปีแล้วครับ มันยังอยู่ และจะอยู่ตลอดไป

เครื่องมือเทคนิคคอล เราเอามาไว้จับตาดูความไม่เที่ยงนี้แหละ มันไม่ได้เอามาใช้เพื่อดูว่าหุ้นขึ้น หุ้นลง ไปนั้น ไปนี่แน่ๆ

ทั้งหมดนี้มันเป็นที่มาของเทคนิคคอล
1 เวฟ ฟิโบ ไว้วัดระยะทางว่า ความมั่นใจมันมีมานานหรือยัง
2 PATTERNS มันเอาไว้ดูว่าเมื่อไหร่ ความไม่มั่นใจจะถูกเบรกออกไปเสียที เบรกขึ้นหรือลง ก็คือการไปสู่ความมั่นใจเช่นกัน
3 INDICATOR ต่างๆใช้วัดว่า การเปลี่ยนจากมั่นใจไปสู่ไม่มั่นใจได้เริ่มเกิดหรือยัง

วันนี้ Thai Trader คิดว่าพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมราคาหุ้นมันลงมาแตะเทรนด์ไลน์แล้วเด้ง เพราะจังหว่ะที่ลงมาแตะเทรนด์ไลน์ ความไม่มั่นใจบังเกิด สุดท้ายมันเด้ง เพราะความมั่นใจกลับคืนมา (ในทางที่ดี)

ในกรณีที่หลุดเทรนด์ไลน์ก็เหมือนกัน ตอนที่มันมาแตะเทรนด์ไลน์ ความไม่มั่นใจบังเกิด และแล้วความมั่นใจก็เกิด เมื่อมันเบรกลง

ความจริงมันง่ายๆแค่นั้นเอง มีสองอย่าง ที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือธรรมชาติ มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แล้วจะเกิดต่อไปเรื่อยๆในอนาคต

ในส่วนของVI ก็เป็นอีกอย่าง นะครับ แต่ก็ผีตัวเดียวกัน ความไม่เที่ยงของความมั่นใจเหมือนกัน แต่มีวิธีการดูอีกอย่าง ต่างจากการใช้เทคนิคคอลแค่นั้นเอง

อย่าไปมองหาสิ่งที่ไม่มี ทำความเข้าใจมันแล้วมองว่ามันเป็นไปยังไง มันเป็นธรรมชาติครับ


วิเคราะห์ทองคำ มาดูกันว่าใกล้ได้ซื้อหรือยัง

‪#‎กราฟทองคำ‬ ยังคงเป็นการเดินทางไปสู่เวฟ {4} ซึ่งในรายละเอียดย่อยของเวฟช่วงที่เดินทางไปสู่ {4} นี้ ตอนนี้เป็นช่วงของเวฟ v ซึ่งที่ราคาแถวๆ 1400 เป็นต้านหลัก ทั้งทางจิตวิทยา และก็มีขนาด 161.8% ของเวฟ i ย่อยของมัน(เส้น fibo สีเขียว) ถ้าราคาไปถึงต้องระวังให้มาก อาจจะลงทำเวฟ {5}

ส่วนแนวต้านแรกตอนนี้คือที่ยอดเวฟ {1} หรือที่ราคา 1336 นั้นเองครับ

ตอนนี้ภาพรวมถือว่าลงช้าลง โมเมนตั้มของขาลงน้อยลง นั้นเอง และทุกอย่างจะกระจ่างเสียที ถ้ามันลงทำเวฟ {5} ซึ่งในภาพใหญ่ที่เวฟ {5} นี้จะเป็นจุดจบของ เวฟ c ใหญ่ อันนี้คลิกที่ลิ้งค์กราฟทองคำข้างบนไปดูเอาเพราะภาพใหญ่เคยเขียนไว้แล้วครับ

ถ้าลงมาเวฟ {5} แล้วมี Divergence จะๆ ในกราฟ day อีกสักครั้ง จะมีช่องให้ขึ้นใหญ่ๆ ไปถึงยอดเวฟ a ส่วนราคาตรงนั้นจะเป็นยังไงไว้เดี๋ยวมันเกิดเค้าลางกว่านี้ก่อนค่อยว่ากัน

ตอนนี้ไม่ว่าจะขึ้นจะลงคนเล่นทองต้องจับตาให้มากๆ ใจจริงผมอยากบอกว่า ถ้าใจเด็ดๆ แช่งให้มันรีบลงเวฟ {5} โลด จะได้เห็นกันสักทีว่าจะผีหรือคน 

   




ดูสัญญานทางเทคนิคของหุ้น PREB

ก่อนอื่นวันนี้ออกตัวก่อนไม่ได้เฝ้าหน้าจอเลยอยู่บนถนนทั้งวัน พอกลับเข้า รร ก็มาเปิดตีกราฟนี้แหละครับ
‪#‎PREB‬ ราคาพุ่งมาจากส่วนที่ติดแนวรับ มาถึงราคาที่ติดแนวต้านเลย ที่ 10 บาทเป็นแนวต้านสำคัญ ถ้าเบรกได้ ไปเทสที่ไฮเดิมคือ 11.42 ถ้าเบรกได้อีก คือรอบของเวฟ 5 ส่วนถ้าเบรกไม่ได้ แนวรับแรกคือ 9.05 และรับต่อไป 7.88

ส่วนของกำลังขาลง เริ่มลดลงเรื่อยสังเกตุได้จาก ช่วงราคา new low ก่อนหน้านั้น
ส่วนของโวลุ่ม พุ่งกระฉูด ถือว่าแรงกว่าช่วงที่ผ่านมามาก ต้องรอดูว่าแรงจริงหรือแรงปล่อยของ

   
ถ้ายังไม่มีแล้วจะเข้า คิดว่า ถ้าสามารถเบรก 10 ได้ก็โอเค เพราะมีช่องให้เล่นไปเทสไฮเดิม แต่ถ้าขึ้นไปยืนเหนือต้านไม่ได้ ก็ควรคิดให้ดีๆ

วันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ขึ้นมาเพราะงบออกมาดีซึ่งตรงนี้ผมไม่รู้จะพูดแนะนำยังไงเพราะผมไม่รู้เรื่อง 5555

แต่สิ่งหนึ่งที่(ผมคิดว่า)จริงแท้แน่นอน ไม่ว่างบ หรือข่าว คนรู้ช้าสุด คือเหยือ ถ้าวันนี้แล้วเราเพิ่งรู้ คงไม่ใช่เวลาที่จะเข้าไปซื้อเพราะงบดี แต่คิดว่าดูแรงว่ามันยังมีอยู่เยอะไหมจะดีกว่าครับ พี่น้อง


การนับเวฟ ของ QH และ ถึงเพื่อนๆที่ฝึกนับเวฟ นะครับ

‪‎QH‬ อันนี้ ฝากให้กับคุณน้าสมโพช(ผมอาจจะเขียนชื่อผิดขอโทษล่วงหน้าครับ) ที่ถามไว้เรื่องการนับเวฟ ของ QH และ ถึงเพื่อนๆที่ฝึกนับเวฟ นะครับ

ในส่วนของเวฟ หลักให้ดูกราฟทางซ้ายมือ จะเห็นว่าเวฟหลักๆในกราฟ day นั้น ผมไม่บอกว่ามันเป็น 1 2 3 หรือ a b c ไปเลย เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ เราควรตีแบบว่า มันจะเป็นอะไรได้บ้าง แล้ว พอถึงเวลามามันจะมีช่วงให้ตัดสินใจ เช่น ถ้าพรุ่งนี้ เบรกตรงนี้ สมมุติฐานเวฟ c ตกไป มีสิทธิเป็นเวฟ 3 แล้วเด้งขึ้นมาเพื่อจะลง 5 อีกครั้งมากกว่าอะไรแบบนั้น

   
ส่วนกราฟทางซ้ายที่เป็นภาพรวม ราคามันมาถึงช่วงที่เป็น c หรือ 3 ทำไมถึงเป็น c ก็เพราะว่า มันอาจจะลงมาตรงนี้แล้วกลับเป็นขาขึ้นก็ได้ หรือ มันอาจจะลงมาตรงนี้แล้ว เป็นเวฟ 3 ก่อนจะเด้งขึ้นมาเป็นเวฟ 4 แล้วมีลงอีกเป็นเวฟ 5

ซึ่งเวฟ 3-4 นี้จะเป็นจริงก็ต่อเมื่อ ราคามันไม่มีแรงผ่าน แถว 3.5 ตรงที่เราตั้งสมมุติฐานว่ามันเป็น 1 หรือ a นั้นไปได้นั้นเองครับ

ในส่วนจาก 2 หรือ b ไปสู่ -------> 3 หรือ c ถ้าเราเปิดไทม์เฟรม day แล้วมองเวฟไม่ชัด ก็ ให้เปิดไทมเฟรมที่เล็กลงครับเหมือนที่ผมเปิดที่ช่องกราฟทางซ้าย

ในส่วนของ ช่องทางซ้ายจะเป็นรายละเอียด ของ "ส่วนจาก 2 หรือ b ไปสู่ -------> 3 หรือ c" มีรายละเอียดดังนี้
ผมลากเส้น เวฟ 2 เส้น เส้นสีสว่างนั้นเป็นเส้นย่อยของเวฟ 3 ย่อยของมัน ส่วนเส้นสีทึบกว่า เป็นเวฟรวมของส่วนเวฟ 3 หรือ c นี้เองครับ

เราจะมีวิธีแยกแยะเวฟ ย่อยยังไง ให้ดูที่ที่ rsi หรือ macd ประกอบ ธรรมชาติของเวฟ กับพวก oscil.. จะเป็นแบบนี้

- เวฟ 1 มันคือการย่อ ของ new hi เราจะรู้ว่าแนวรับของมันอยู่ไหนไปดู แนวต้านแนวรับของรอบขาขึ้นก่อนหน้าเอาครับ
- เวฟ 2 คิดง่ายๆถ้าในขาลงก็คือหลังจากมันเด้งแล้วไม่ทำ new hi หรือในขาขึ้น ก็คือหลังจากมันย่อ มันจะไม่ทำ new low โดยที่ส่วนมาก ถ้ามันจะเป็นเวฟ 2 มันจะเด้ง หรือย่อ ไม่ค่อยเกิน 61.8% ของเวฟ 1 (แต่เกินนี้ก็ได้นะ ขอแค่ห้ามไปไกลกว่าเวฟ 1)
- เวฟ 3 ส่วนมาก macd หรือ rsi หรือเครื่องมือจับ convergence divergence อื่นๆ ของเราจะจับได้ว่า มันเป้น Convergence เมื่อเทียบกับเวฟ 1 (แน่นอนหล่ะเพราะว่ามันจะมีเวฟ 5อีก) ดูในรูปประกอบที่ rsi นั้นแหละครับ สำหรับ convergence divergence มันคืออะไรถ้ายังไม่รู้ เซิจหาอ่านเพิ่มเติมนะครับ มีในเน็ตเยอะแยะครับ
- เวฟ 5 ก็ดูที่ตัวจับ convergence divergenceอีกที สิ่งที่เราเห็นก็คือมันจะเกิด divergence กับเวฟ 3 ครับ นั้นหมายถึง ความเร็วในการลงมันเริ่มลดลงแล้ว จะไม่ลดได้ไงละ ขายลงมาตั้งแต่ 1-3 ไม่น้อยแล้ว ไอ้คนที่ถืออยู่ตอนนี้ ส่วนมากก็คงไม่ค่อยอยากขายแล้วอะไรแบบนั้น

วันนี้ผมเอาแค่นี้ก่อนนะครับ ขับรถไกลเหนื่อยๆ ไม่ได้นอนบ้านด้วยนอนดึกเดี๋ยวผีหลอก 555

เช็คสภาพกราฟหุ้น set index มาดูว่าลงถึงไหน ต้องจับตาอะไร

‪#‎กราฟเซท‬ อันนี้มาดูกันตามเนื้อผ้าว่ามีอะไรอยู่ในกราฟ ส่วนจะตัดสินใจว่ายังไงอันนั้นก็ตัดสินใจตามปัจจัยของตัวเองนะครับ

เริ่มที่ กราฟราคากันก่อน ตรงนี้สำคัญ เพื่อนหลายคนตกใจกันมากกับหุ้นขึ้นลงรายวัน แต่เอาจริงๆนะ ช่วงราคา 1408-1520 ของช่วงเวลา 2 เดือนกว่าที่ผ่านมา ราคาวิ่งเด้งไปเด้งมาในนี้ มันเป็นออกข้าง ไม่มีทิศทาง จะถือว่ามันไม่ได้ขึ้นหรือลง เลยก็ได้ หลายๆคนนั่งดูราคารายวัน แล้วบอก เย้ หุ้นขึ้น โอ้ยยย หุ้นตก ผมว่าปวดหัวแย่ ดูช่วงของมัน กำหนดขอบเขตแนวรับแนวต้าน เบรกต้าน ตีเป็นขาขึ้น เบรกรับ ตีเป็นขาลง อะไรแบบนั้นจะเครียดน้อยลงนะ ถ้านั่งมองไซด์เวย์ รายวัน ก็จะกลายเป็น ขาก่ายหน้าผาก

   

ช่วงที่หุ้นออกข้าง ก็ไปทำมาหากินอย่างอื่นรอ ดีที่สุด

ทีนี้ ดูตรง macd สังเกตุตรงนี้นะ อันนี้ที่ผมขีดลูกศร สีขาวสองหัวไว้ตรงนั้นแหละครับ ถ้าราคาลงไป ถึงอย่างน้อย โลวเดิม 1339 ประมานนั้น หรือ หลุด ลงไปต่ำกว่า ตรงนี้ ก็ได้ มาจับตาดูกันว่า macd จะลงไปทันไหม

ลองไปกะกันเอาเอง ว่า macdo นั้นจะลงทันกันกับราคาไหม หรือ rsi จะลงทันกันกับราคาไหม ถ้าลงไม่ทันก็คือ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ขายจริงจังแบบช่วงก่อนหน้าที่ลงจากยอดพันหกกว่านั้นมาครับ


ถ้าราคาลงทำ new low macd rsi อะไรต่างๆ ลงตามไม่ทัน ก็มีเด้งกว้าง เพราะ ถ้าลงไม่ทัน (divergence) รอบนี้ มันจะ divergence ระดับกราฟ วัน มันจะกว้างกว่า (ไอ้ที่เด้งมารอบก่อนนี้มันได้เด้ง มาระดับต่ำกว่าวันครับ)

ข้ามไปกราฟฝั่งทางขวาตรงช่องโวลุ่ม จะเห็นว่า ไอ้ราคาที ย่อมาจาก 1520 ลงมาถึงราคาตอนนี้ โวลุ่มลดลงเรื่อยๆ การที่หุ้นราคาลดลง แล้วโวลุ่มน้อยลง นั้นหมายความว่า คนยังไม่กระจ่างจิต ว่าต้องขายทิ้ง คือโวลุ่มไม่ได้คอนเฟิร์มทิศเท่าไหร่ ถ้าราคาหลุดราคาลงแบบน่ากลัว โวลุ่มควรจะโด่ ให้คนหนีตายกันครับ อันนี้โวลุ่ม เตี้ยลงๆ

ใครมีเวลา เตรียมนับเวฟ ขาลงรอบหน้า ระยะสั้น ถ้ามีเด้งอาจจะได้กินกว้าง แต่ให้จับตาให้ดี เพราะถ้าลงเต็มเวฟ จริงๆ เวฟ c มันลงได้ถึงพันสองกว่าโดยไม่แปลก(แต่แรงเท่าที่เห็น ณ ตอนนี้ มันยังไม่เห็นแรงเทขายขนาดนั้นครับ)


สรุป ถ้ากลับขึ้นมายืนเหนือ 1408 ไม่ได้นะ ปล่อยมันลงไป เตรียมจับตามอง ให้มันลงไปเยอะๆ new low ไปเลยยิ่งดี แล้วไปจับตา macd rsi และ โวลุ่มนะ ถ้าโวลุ่ม ไม่พุ่ง น่าจะใจร่มๆไว้ รอตอนเด้ง



สิ่งเดียวที่ต้องทำเวลาพานิคขาลงคือทำยังไงก็ได้ให้มีเงินสดเพิ่มมากที่สุด

สิ่งเดียวที่ต้องทำเวลาพานิคขาลงคือทำยังไงก็ได้ให้มีเงินสดเพิ่มมากที่สุด

ไม่ว่าจะทำงานหาเงิน รับจ้างนั้นนี่ หรือ แบ่งขายหุ้นที่ราคามันค้างอยู่ระหว่างแนวรับแนวต้าน พวกราคายังลงไม่ถึงแนวรับ

จะได้เงินสดเตรียมจัดเพิ่มหลังจากหายพานิคแล้ว

หุ้นตกนี้คือโอกาสหอมที่สุด(ถ้ามีเงิน)
   

คุณมีออเดอร์ขายของคุณ ส่วนผม(ต้องมีเงิน)ไว้เก็บของของคุณ(เมื่อพอใจ) แค่นี้ก้พอแล้ว

ตอนนี้อย่าเพิ่งปิดจอหนี เพราะมันเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะนั่งเฝ้าจอ รอจังหวะ

อย่าเข้าไปช้อนตอนฝุ่นตลบละ ฝุ่นหายคลุ้งเมื่อไหร่ก็เตรียมลง


มาจับตาเทคนิคของหุ้น PTT กันหน่อย

เวลาที่หุ้นขึ้นๆ แล้วเรามาดูกราฟ เราจะพูด กับตัวเองว่า ทำไมไม่ซื้อตั้งแต่ตอนนั้นหว้า

หุ้น PTT เป็นตัวหนึ่งที่น่าจะจับตาหน่อย ถ้าไม่หลุดไปกว่า แถวๆ 300 มันก็เป็นแนวรับที่ดี ราคาตอนนี้มันวางอยู่บนแนวรับเลย

ลองเก็บไปจับตากันเล่นๆนะครับ

   

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิเคราะห์หุ้น HMPRO และ ADVANC จากกราฟ เทคนิค ครับ

HMPRO‬ ที่ ต้านแรกคือ 13.5 ต้านต่อไปคือ ที่สำคัญคือ 14.1-14.3 ตามลำดับ ถ้าเบรก ได้ต้านต่อไปคือ ไฮเดิม แต่ถ้าไม่ผ่าน ก็คือลงทำเวฟ C ครับ

   
ADVANC‬ ถ้านับแต่ต้นหลายปีผ่านมาช่วงกรอบสีเหลืองนั้นคือช่วงของเวฟ 5 ใหญ่ซึ่งเป็นรอบที่มีขนาดใหญ่ เกือบ 5 ปีแล้ว น่าจะเป็นครั้งแรกที่ นิวไฮแล้ว MACD ไม่ไปด้วย ซึ่งเกิดขึ้นในกราฟ WEEK ด้วยครับ ถ้าย่อแล้วเด้งไม่ทำนิวไฮ ต่อไป อาจจะต้องระวังมากที่สุด


วิเคราะห์หุ้น AIM จากสัญญาเทคนิค ต้องเริ่มระวังตัวกันแล้วหรือยัง มาดูพร้อมๆกันครับ


AIM‬ ก่อนอื่นไปดูที่ กราฟเดิมซึ่งเป็นส่วนที่นับเวฟไว้นะครับ คืออันนี้ กราฟ AIM เดิม

ทีนี้ ตอนนี้มันย่อลงตรงจุดที่ตีว่าน่าจะเป็นเวฟ 3 พอดี และรีบาวด์ขึ้นมาแต่ยังไม่ทำนิวไฮ แบบนี้ให้เราตั้งสมมุติฐานว่าเป็นขาลงไว้ก่อน โดยไอ้ยอดที่วิ่งลงมานั้นคือ ให้เป็นเวฟ 1 ของขาลง

   
สมมุติฐานขาลงนี้จะถูกทำลายลงตอนไหนก็ตอนที่ราคามันสามารถทะลุทำ NEW HI ได้นั้นเอง สมมุติฐานจะเปลี่ยนไปว่า นิวไฮต่อไปนั้นอาจจะคือยอดเวฟ 3 จริงๆ หรืออาจจะเป็นช่วงของเวฟ 5 ที่จบรอบนี้ครับ

ส่วนถ้าราคาไปไม่ผ่านไฮเดิมที่ 0.96 แล้วย่อลงมาต่ำกว่า 0.79 นั้นให้ระวังดีๆแสดงว่าจะไปเวฟ 4 ถ้าหลุดตรงนี้แนวรับสำคัญจะอยู่ที่ 0.69 และ 0.56 ตามลำดับ

ทีนี้มาดูกำลังกันบ้าง กำลังตกลงมาเรื่อยๆนะครับ จากยอด ที่ขึ้นไปเทสไฮเดิม นั้นทั้ง MACD RSI และ VOLUME ตกลงทั้งคู่ เพราะงั้นก็ระวังกันหน่อย

เวฟ 3 ยาวๆแบบนี้ถ้าเบรก ไฮไปได้ ก็มักจะไปอีกไม่ไกลมาก อาจจะมีขนาด ของเวฟ 5 แค่พอๆกับเวฟ 1 ถ้าเบรกไฮแล้วถือต่อไปก็ต้องไม่ละสายตาครับ จับตาไว้ให้ดี ตั้งเงื่อนไขถ้าหลุดตรงนั้นตรงนี้หาจุดปิดไว้ก็ดี

มาวิเคราะห์หุ้น SSC พร้อมทั้งกรณีศึกษาทางเทคนิค ให้ทุกคนลองฝึกลองเรียนไปตามกันครับ

SSC‬ เอาไว้ไปเป็นกรณีศึกษานะครับ เรื่องการลาก Fibo เพื่อวัดขนาดเวฟ ด้วย เพราะตัวนี้จากเดิมที่ผ่านมากราฟค่อนข้างเป๊ะ

เริ่มกันที่ที่ขาขึ้นก่อนนะครับ เวฟ 1 ของขาขึ้นซ้ายสุดเลย ราคาเริ่มเวฟ 1 คือแถวๆ 48.4 และไปทำยอดเวฟ 1 ที่ 144 บาท พอเราเห็นแบบนี้ปุ๊บ ลาก fibo เลย เราจะลากตามขนาดของเวฟ 1 เพื่อที่จะวัดเวฟ ต่อๆไป โดยจะมีเงื่อนไขหลักๆดังนี้

   
1 ในส่วนเวฟ 2 ถ้าจะให้สวย ย่อลงมาสัก 61.8% ไม่หลุดตรงนี้แล้วขึ้น ถือว่าสวย(อาจจะย่อลงมาน้อยกว่าหรือมากกว่า 61.8% ก็ได้)

2 ถ้าเวฟ 2 หลุด 61.8%ลงมา ต้องดูต่อว่าอย่าหลุดทำ new low ถ้าหลุดทำ new low สมมุติฐานว่าตรงนี้คือเวฟ 1 ของขาขึ้นก็ตกไป เพราะนี้คือส่วนหนึ่งของขาลงใหญ่รอบที่แล้ว เราก็เริ่มจับตาเวฟ 1 ใหม่

3 ในส่วนของเวฟ 3 เมื่อเบรกขึ้นไปแบบนี้ถือว่าไม่เยอะ มีขนาดยาวกว่าเวฟ 1 เล็กน้อย ถ้าเจอแบบนี้ มีสิทธิที่เวฟ 5 จะยาวสุดในรอบ

4 ในส่วนเวฟ 4 มักจะไม่ลงต่ำกว่าเวฟ 1 ลงไปแตะแล้วเด้งเลย ให้สังเกตไว้ถ้าราคาหุ้นตัวไหนก็ตามจบเวฟ 3 อาจจะลงเวฟ 4 ไม่มากก็ได้ แต่ถ้าลงมาก ให้ไปจับตาที่ยอดเวฟ 1 เลย ถ้าลงมาแตะแล้วเด้งเร็วก็เป็นจุดเข้าที่ดี ถ้าลงแตะแล้วหลุด แสดงว่ามีเรื่องมีข่าวบางอย่างที่ไม่ดีเตรียมจะมา

5 ในส่วนเวฟ 5 ของรอบก่อนหน้ามีขนาด 161.8% ของเวฟ 1 พอดีเป๊ะ เรียกว่า แตะปุ๊บก็กระโดดลงเลย เรียกว่าจบรอบ ฟ้าผ่า

ต่อไปมาดูในช่วงขาลงบ้าง ณ ตอนนี้มี รวมรอบขาลงหลักเป็นเวฟ abc (หวังว่ามันจะไม่เปลี่ยนเป็น 1-5 นะครับเพราะถ้าแบบนั้นยาว)
1 ในส่วนเวฟ a มีเวฟย่อยเป็น 1-5 ลงมาแตะแถวๆปลายยอดคลื่น 3 (ของขาขึ้น)ก็เด้ง แบบนี้มักเกิดในกรณี คลื่น 3 ไม่ยาวมาก ถ้าคลื่น 3 ยาวๆ มักลงไปแตะแถวๆ คลื่น 4 ถึงเด้ง

2 ในส่วนเวฟ b เมื่อจบ a แล้ว จะเห็นว่า b เด้งขึ้นมาเป็นขนาด 61.8% ของเวฟ a พอดี ตรงนี้จะเห็นชัดๆ ดูจาก fibo สีชมพูนะครับ ทันทีที่หุ้นราคาตกลงมาจากจุดที่ เป็นแนวต้านสำคัญ เราจะเริ่มตั้งสมมุติฐานว่า นี้คือเวฟ 1 หรือ a ของขาลง ถ้าลงมาแล้วเด้งกลับไม่เกิน 61.8% ของเวฟ 1 หรือ a ที่ว่านี้ มันก็คือยอดคลื่นของเวฟ 2 หรือ b นั้นเองครับ

ถ้าใครติดหุ้นอยู่ เวฟ 2 หรือ b ที่เด้งขึ้นมานี้คือจุดที่ควรจะออก ถ้าแน่ใจว่าแหกไม่ได้แล้วอย่าดันทุรัง เพราะมันมีสิทธิ์ ลงอย่างน้อยก็เท่ากับเวฟ 1 หรือ a ครับ ขายแล้วไปรอตรงนั้นดีกว่าถือฝืนไปแน่นอน เพราะถ้าโชคไม่ดี มันลงทำ C ต่ำ กว่า หรือเลวร้ายสุดๆ มันลงไปเป็น 1-5 ใหญ่ๆอีกรอบ หน้าแห้งติดดอยเป็นปีๆแน่

3 หลังจากเด้งขึ้นมา เป็น b นั้นแล้วไม่ผ่าน ก็ตามหลักทั่วไปคือลงทำเวฟ c เป็นอย่างน้อย เวฟ c ตอนนี้ ที่เห็นคือจะมีคลื่นย่อยอีก 1-5 เราต้องวัดตรงนี้ว่าเวฟ 5 ควรจบที่ไหน โดยทำเหมือนทุกครั้ง ลาก fibo ที่เวฟ 1 ของเวฟ c นี้ครับในรูปกราฟ ผมใช้ fiboเส้นสีน้ำเงินนะ

4 เราจะเห็นว่าราคาตอนนี้ อยู่ใกล้ๆ 161.8% ของเวฟ 1 ดูเส้น fibo สีน้ำเงินนะครับ โดยที่ ไอ้ตรง 161.8% ที่ว่านี้ มันดันใกล้เคียงกับ 61.8% ของเวฟ a อีกด้วย นั้นหมายถึง ตรงนี้เป็นแนวรับที่ดี ที่ได้ลุ้น เพราะว่า มันเหมาะที่จะจบทั้งเวฟ c และ เวฟ 5 ย่อยของเวฟ c ด้วย เพราะงั้น สิ่งที่เราควรทำคือ จับตาที่ราคาแถวๆ 97-101 แถวๆนั้นไว้ ถ้าราคาเข้าใกล้แล้วเริ่มมีโวลุ่ม แสดงว่าจะมีเด้ง พูดว่ามีเด้ง ไม่ได้พูดว่ากลับเป็นขาขึ้นเพราะอะไร มาดูต่อข้อ 5

5 ถ้าราคาไปตรงแนวรับสำคัญที่ว่าในข้อ 4 แล้วเด้งจริง และเราเข้าแล้ว(ถ้าไม่เด้งก็ไม่ต้องเข้านะครับ เพราะไม่มีกฏอะไรที่บอกว่า แนวรับสำคัญจะเอาอยู่แน่นอน มันเป็นแค่จุดที่ คนจะจ้องเป็นพิเศษ) นี้ไม่ใช่ถือว่าเป็นการจบขาลงนะครับ

อย่าลืมว่าเราตั้งสมมุติฐานไว้ว่า เวฟ a อาจจะเป็นเวฟ 1 เวฟ b อาจจะกลายเป็นเวฟ 2 และ c ตอนนี้อาจจะกลายเป็นเวฟ 3 นั้นแสดงว่าไอ้ที่เด้งขึ้นไป อาจจะเป็นการเด้งของขาขึ้นจริงๆ หรืออาจจะเป็นการเด้งไปทำเวฟ 4 แล้วตกกลับมาอีกเพื่อเป็นเวฟ 5

6 จุดวัดว่ามันจะตกกลับมาอีกไหม จะมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ยอดของเวฟ a แถวๆ 177 บาท ถ้าเราเข้าแล้วราคาขึ้นไปถึงตรงนี้ให้ระวังมากๆ ถ้าไม่ผ่าน มันจะลงเวฟ 5 แต่ถ้าผ่านก็ไปหาไฮเดิมกันต่อไปในระยะยาวครับ

7 เมื่อราคาไปถึงแนวรับแนวต้านสำคัญให้ไปดูกำลังมันประกอบทั้งจากโวลุ่มหรือ พวก oscillator ว่ามันหมดแรงหรือมีแรงอยู่ไหมประกอบนะครับ


สำหรับที่ติดค้างน้องที่ถาม เรื่อง การลาก fibo ให้ดูตรงนี้ประกอบ ไปอ่านเรื่อง elliott wave ในบล๊อกเพิ่มก็ได้จะได้เห็นภาพขึ้น การลาก fibo นั้น หลักการเอาไว้ใช้วัดขนาดเวฟ ซึ่งเราจะได้เห็นว่าเราอยู่ตรงไหนของรอบแล้ว ถึงจุดที่ต้องระวังหรือยัง

นี้คือเรื่องสำคัญ การลากมั่วๆ จากสูงไปต่ำเลย ก็อาจจะได้ผลเหมือนกัน แต่นั้นคือบังเอิญ เพราะ เลขอัตตราส่วนฟิโบนัคซี่ ที่เราเอามาใช้ เมื่อบวกต่อกันมันก็ได้เลขเดิมๆนี้แหละ เราลากมั่วๆ แล้วเราก็อาจจะเห็นว่ามาชนตรงนี้แล้วเด้งจริงๆเว้ยเห้ยพอดี

แต่มันมีประโยชน์มากกว่าถ้าเรารู้ว่า เส้นตรงนี้ไม่ค่อยสำคัญ ถ้ามาถึงตรงนี้ให้ระวังมากๆ เราจะรู้ความสำคัญของแนวรับแนวต้านของ fibo จากการนับเวฟ ได้ดีกว่าการลากมั่วๆ

ข้อสำคัญ การนับเวฟ และลาก fibo อย่าไปคิดว่าถึงตรงนี้แล้วลงแน่นอน หรือลงถึงตรงนี้แล้วขึ้นแน่นอน ให้ดูกำลัง(momentum)ประกอบ

เวฟ เป็นการบอก ว่าตอนนี้ให้เราจับตา ระวัง เราจะจับตาอะไรก็ไปดูกำลังของมันนั้นเอง ถ้ากำลังวิ่งสวนทางกับราคาแล้วก็เซฟๆ หรือเก็บๆตามแต่โอกาสครับ

วิเคราะห์หุ้น BJC ดูกราฟดูทิศทางกันครับ

BJC‬ ดูที่กรอบสี่เหลี่ยมที่วงไว้ คือมาแตะที่ 61.8% ของเวฟ 1 3 ครั้ง ไม่หลุด ตรงนี้ถือว่าเป็นแนวรับที่ดี

ไปดูที่ตรงโวลุ่ม ที่วงไว้สีเหลืองๆ โวลุ่มน้อยลงเรื่อยๆเพราะคนลุ้นอยู่ว่าแนวรับตรงนี้จะเอาอยู่ไหม ถ้าเอาอยู่และเด้ง แนวต้านแรกจะเป็น 51.3 และต้านต่อไปที่สำคัญเลยคือ 61.5 คนเขาดูๆอยู่ถ้าเราไม่มี ก็ควรจะดูๆเหมือนคนอื่นๆ รอจนเขาแน่ใจ

   
(ตรงนี้บางคนอาจจะบอกว่าเราต้องเอาตอนเขากลัวๆนี่แหละ แต่สำหรับผม จะไปเสี่ยงกับมันทำไม ให้มันแน่ใจหน่อยว่าไม่ลงอีกหรือลงไปก็ไม่มากค่อยเข้าดีกว่า ถ้ามันไม่ลงอีกแนวต้านพอมีที่ให้กินอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปเสี่ยงโดยที่อะไรยังไม่ชัด)

สรุปโวลุ่มมาในแบบที่ราคาเด้งได้ ก็ค่อยน่าสน โวลุ่มมาในแบบราคาหลุดแนวรับก็ปล่อยมันไป



การอ่านกราฟหุ้นคืออะไร เทคนิคคอล คืออะไร เราได้อะไรจากกราฟหุ้น ต้องมาอ่านบทความนี้ก่อนครับ

บทความนี้ยาวหน่อย แต่ถ้าอ่านดีๆคุณจะเห็นว่ามันมีเหตุผลอะไรซ่อนอยู่ในเทคนิคคอล คุณจะเข้าใจว่าเราต้องมองหาอะไรจากกราฟ ถ้าเริ่มด้วยความเข้าใจตรงนี้ มันก็เหมือนเดินแบบมีทิศทางไม่มั่วซั่วว่าเรากำลังไปทางไหนกันแน่

ครั้งแรกที่เราดูกราฟ และพยายามใช้เทคนิคคอลในกราฟ เรารู้สึกว่ามันโคตรจะไร้เหตุผลใช่ไหม? ผมก็เป็นแบบนั้น แต่เมื่อศึกษาดีๆ มีอะไรหลายอย่างให้คิดต่อครับ

เริ่มท้าวความไปสมัยที่ผมเริ่มสนใจเทคนิคคอลแรกๆ อ่านหนังสือมาเห็นเขาแนะนำเรื่องเทรนด์ไลน์ เลยเปิดกราฟดูและลากตามหนังสือเลย ลากปุ๊บ พูดกับตัวเองว่าเห้ย พอมันมาชนแล้วเด้งจริงๆว่ะ ลากทิ้งไว้สักอาทิตย์ พอมันย่อกลับมา มันก็เด้งอีกเว้ยเห้ย นี่มันเป็นเวทย์มนต์แบบไหนกันเนี้ยยยย

ตะลึงนะครับ ผมไม่เข้าใจว่าไอ้เส้นเทรนด์ไลน์นี้มันไปมีอิทธิพลอะไรกับราคาหุ้นทำไมมาชนแล้วเด้ง มันเป็นเรื่องไร้เหตุผล ที่ดันเกิดขึ้นจริง ไปดูหลายๆตัวก็มีเกิดแบบนี้จริง

จากนั้นมาสักพัก ผมได้ไปงานแต่งเพื่อนคนนึงที่ขอนแก่น เลยนัดกับเพื่อนที่เริ่มเล่นหุ้นด้วยกันว่ามานอนโรงแรมเดียวกันเดี๋ยวกูมีอะไรดีๆให้ดู

เราก็หิ้วโน๊ตบุ๊คไปกันด้วย พอเข้าโรงแรมก็เปิดกราฟมาลากเส้นกันดู แล้วก็เห้ยๆจริงๆ(อีกครั้ง) มันเกิดขึ้นแต่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่รู้ว่าทำไมมันเด้งพอมาชนเทรนด์ไลน์ แล้วมันต้องไม่หลุดไม่อะไรไปง่ายๆ

แต่ถึงผมจะยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรมันเด้งได้ไง ผมก็ยังพยายามจะใช้มันอยู่ ก็เอาไอ้เจ้าเทรนด์ไลน์นี้แหละไปใช้ในการซื้อขาย ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าทำไมมันเด้ง

ผลปรากฏก็คือ ไม่เคยกำไรเลย เอาจริๆหุ้นขึ้น แต่ผมขาดทุน เพราะผมไม่รู้ว่าทำไมชนแล้วมันเด้ง และก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำไมชนแล้วมันหลุด อันนั้นยิ่งไม่รู้ ขาดทุนจนเซ็งเลยหันไปมั่วเหมือนเดิม

แต่ก็พยายามศึกษาต่อมาเรื่อยๆรวมถึงดูกราฟที่เขาตีโชว์ในยูทูป บ้างอะไรบ้างตามประสา

หลังจากนั้นก็ได้มาสร้างเพจสร้างอะไรเพื่อรวบรวมข้อมูลและศึกษามันจริงจัง และมาถึงตอนนี้ พอจะได้ข้อสรุปบ้างว่า เทคนิคคอลมันคืออะไร

มันคือการหารูปแบบของความไม่ยั่งยืนความไม่เที่ยงครับ มันไม่ได้เป็นการหาว่าหุ้นมาแตะเส้นแล้วมันจะเด้ง หุ้นมาตรงนี้แล้วมันจะขึ้น เส้นนี้ตัดเส้นนี้ ไปแน่ ไม่ใช่อะไรแบบนั้น

ในตลาดมีความไม่ยั่งยืนไม่เที่ยงอยู่อย่างน้อย 2 อัน
1 ความมั่นใจไม่เคยยั่งยืน
2 ความไม่มันใจคลุมเครือก็ไม่ยั่งยืนเหมือนกัน

เมื่อคนมั่นใจแล้ว มันจะเป็นการออกเดินทางไปสู่ความไม่มั่นใจ ยิ่งนานความไม่มั่นใจยิ่งมาก แล้วเมื่อไม่มั่นใจจนถึงที่สุด เราก็จะเริ่มเดินทางกลับไปหาความมั่นใจอีกที เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ

มันเป็นที่มาของทฤษฏีดาวน์(ในแบบที่ที่เข้าใจเหตุผล ไม่ใช่พูดแบบกำปั้นทุบดินว่า หุ้นขึ้นก็ลง ลงก็ขึ้นอะไรแบบนั้น) การกลับไปกลับมาของความมั่นใจกับไม่มั่นใจนี่แหละ มันมีลักษณะเป็นคลื่น ไม่ใช่เปลือกของคำพูดที่ว่าราคาหุ้นมันมีลักษณะเป็นคลื่น เพราะราคาหุ้นตอนนี้ มันไม่ได้ทำให้เกิดราคาหุ้นของวันถัดไป ความไม่ยั่งยืนไม่เที่ยงของสองสิ่งที่ว่านี่ต่างหากที่ทำให้เกิดราคาหุ้นของวันพรุ่งนี้

ความไม่ยั่งยืนนี้เป็นต้นกำเนิดของเทรนด์

1 เมื่อมั่นใจ เทรนด์ก็จะเป็นขึ้นหรือลงเต็มๆกำลัง มันใจว่าดีก็ขึ้น มั่นใจว่าแย่ก็ลงเต็มๆ แล้วอย่างที่บอกว่าเมื่อเริ่มมั่นใจก็คือการแพ็คกระเป๋าเพื่อเดินทางไปสู่ความคลุมครือครับ เมื่อเดินทางไปถึงจุดหนึ่งแล้วจะเกิดข้อ 2

2 ความคลุมครือ ไม่มั่นใจ มันก็คือช่วง side way มันเป็นช่วงที่คนไม่มั่นใจแล้วว่า จะไปต่อ หรือ เปลี่ยนเทรนด์ดี ราคาเลยไม่ไปไหน วิ่งออกข้างไปเรื่อยๆ และอย่างที่บอกเช่นกันว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงไม่มั่นใจ มันก็คือการเริ่มต้นเดินทางไปสู่ความมั่นใจ จะใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม ในที่สุดแล้วความจริงจะปรากฏ สุดท้ายแล้วความมั่นใจจะกลับมา ไม่ว่าจะมั่นใจว่าดีขึ้น ก็เป็นเทรนด์ขาขึ้น มั่นใจว่าเลวแน่ๆ แล้วก็เป็นเทรนด์ขาลง

ถ้าเราเข้าใจว่าตลาดมันมีสองอย่างนี้อยู่ และมันมีรูปแบบเกี่ยวพันกันยังไง เราจะรู้ว่าเรากำลังมองหาอะไรจากกราฟ และ เครื่องมือ เทคนิคคอลครับ

ในตลาดหุ้น ถือเป็น ออฟฟิสใหญ่ของกิเลส กิเลส ทำงานประจำอยู่ที่นี้ ความอยาก ความกลัว ที่เราได้รับ (ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของความมั่นใจกับความคลุมเครือ) ถูกส่งมาจากกิเลสนี่แหละ สิ่งที่เราต้องทำคือจับตากิเลส อย่าไปถูกสิ่งที่กิเลสหยิบให้บังตา

ในทางพุทธ ท่านก็บอกอยู่แล้วไม่มีอะไรยั่งยืน มีได้มีเสื่อม มีมั่งมีมียากจน มีทุกข์ เดี๋ยวก็มีสุข นี่เป็นสิ่งที่กิเลสสร้างขึนมาให้เรา ทั้งหมดนั้นท่านเลยบอกให้อย่าไปยืดติดกับมัน เพราะมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาถึงกันตลอด ที่ยกตัวอย่างนี้ไม่ใช่จะอ้างว่าตัวเองรู้เรื่องธรรมะดี หรือ เอาธรรมะ มาอ้างเพื่อชักนำให้เชื่อ

เพราะผมไม่ได้หวังให้เชื่อ การจะเชื่อหรือไม่คุณคิดวิเคราะห์เองดีที่สุด มันเป็นหน้าที่ของคุณไม่ใช่ผมแน่นอน

ความไม่เที่ยงไม่อยู่ไปเป็นอมตนิรันด์ มันเป็นธรรมชาติ มันเกิดขึ้นจริงนะ และตราบใดที่ยังมีมนุษย์อยู่ในตลาดหุ้น พนักงานกิเลสตัวเดียวกันนี้ ก็จะทำให้มันเป็นแบบนั้นไปตลอด นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไม ทฤษฏีดาวน์ ถึงถูกยอมรับมาเป็นร้อยๆปีแล้ว และทุกวันนี้ก็ยังใช้ได้(และยิ่งผู้เล่นมีมากเท่าไหร่ มันยิ่งใช้ได้ดีเท่านั้น เพราะไม่มีการฮั้ว การปั่นทำได้ยากถ้าแข่งกันเยอะๆ) ก็เพราะผีกิเลสที่สั่งใจคนอยู่ในตลาด มันผีตัวเดียวกันมาเป็นร้อยๆปีแล้วครับ มันยังอยู่ และจะอยู่ตลอดไป

เครื่องมือเทคนิคคอล เราเอามาไว้จับตาดูความไม่เที่ยงนี้แหละ มันไม่ได้เอามาใช้เพื่อดูว่าหุ้นขึ้น หุ้นลง ไปนั้น ไปนี่แน่ๆ

ทั้งหมดนี้มันเป็นที่มาของเทคนิคคอล
1 เวฟ ฟิโบ ไว้วัดระยะทางว่า ความมั่นใจมันมีมานานหรือยัง
2 PATTERNS มันเอาไว้ดูว่าเมื่อไหร่ ความไม่มั่นใจจะถูกเบรกออกไปเสียที เบรกขึ้นหรือลง ก็คือการไปสู่ความมั่นใจเช่นกัน
3 INDICATOR ต่างๆใช้วัดว่า การเปลี่ยนจากมั่นใจไปสู่ไม่มั่นใจได้เริ่มเกิดหรือยัง

วันนี้ Thai Trader คิดว่าพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมราคาหุ้นมันลงมาแตะเทรนด์ไลน์แล้วเด้ง เพราะจังหว่ะที่ลงมาแตะเทรนด์ไลน์ ความไม่มั่นใจบังเกิด สุดท้ายมันเด้ง เพราะความมั่นใจกลับคืนมา (ในทางที่ดี)

ในกรณีที่หลุดเทรนด์ไลน์ก็เหมือนกัน ตอนที่มันมาแตะเทรนด์ไลน์ ความไม่มั่นใจบังเกิด และแล้วความมั่นใจก็เกิด เมื่อมันเบรกลง

ความจริงมันง่ายๆแค่นั้นเอง มีสองอย่าง ที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือธรรมชาติ มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แล้วจะเกิดต่อไปเรื่อยๆในอนาคต

ในส่วนของVI ก็เป็นอีกอย่าง นะครับ แต่ก็ผีตัวเดียวกัน ความไม่เที่ยงของความมั่นใจเหมือนกัน แต่มีวิธีการดูอีกอย่าง ต่างจากการใช้เทคนิคคอลแค่นั้นเอง

อย่าไปมองหาสิ่งที่ไม่มี ทำความเข้าใจมันแล้วมองว่ามันเป็นไปยังไง มันเป็นธรรมชาติครับ