วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

การศึกษาไทย ไปพลาดตรงไหน คนเรียนจบมาถึงได้ทำงานไม่เป็น

วันนี้เย็นๆได้ดูรายการข่าวของคุณสรยุทธ์ เรื่องนโยบายการรับตรงของมหาลัย ของคุณ จาตุรนต์ ฉายแสง แอบเห็นด้วยในหลายๆเรื่อง เรื่องสำคัญคือเรื่อง วางเป้าอย่างหนึ่งพอไปทำจริง ดันพยายามทำเพื่อเป้าอีกอย่าง
   


เมืองไทยเราเป็นอย่างงั้นกันทั่วถึงจริง ส่วนที่ คุณ จาตุรนต์ ฉายแสง พูดถึง จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ หลักสูตรการเรียน --> การรับตรง -->โรงเรียนติว --> เป้าหมายที่นักเรียนพยายามเรียน

คือสรุปง่ายๆ 
-นักเรียนส่วนมากพยายามเรียนเพราะจะได้สอบได้
-พ่อแม่ส่วนมาก พยายามให้ลูกเรียนติวเยอะๆเพราะจะให้สอบได้
-โรงเรียนติวพยายามติวเด็กเพื่อให้ทำข้อสอบได้

ไม่มีแมวสักตัวพยายามเรียนเพื่อที่จะได้รู้ จะได้อยากทำ อยากเป็น เช่นน้อยคนพยายามเรียนฟิสิกส์ เพื่อจะได้เป็นนักฟิสิกส์ ซึ่งเป้าหมายของการเรียนมันคงไม่ใช่เพื่อสอบใด้

มองไปถึงเรื่องอื่นๆ ก็เป็นเหมือนกัน
- ใส่หมวกกันน๊อคเพราะกลัวตำรวจจับ หรือกลัวสมองไหล
- เมื่อประเมินผลงานในหน่วยงานต่างๆ สิ่งที่ได้คือ การพยายามทำให้เจอเรื่องผิดน้อยที่สุดหรือว่า พยายามหาข้อผิดพลาด เพื่อไปปรับปรุงต่อ
- ตำรวจเฝ้าร้านทองเพราะกลัวมีอาชญากรรม หรือว่าต้องการ...
- ทำงบการเงิน เพื่อต้องการให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องต่อการประเมินตัดสินใจ หรือทำให้มันดูดีที่สุด ผู้ถือหุ้นจะได้สบายใจที่สุด

แล้วก็อีกร้อยแปดพันเก้า เวลาเขาว่าเด็กบ้านเรา เรียนจบมาทำงานไม่ได้ ก็อย่าไปโทษเด็ก ที่จริงเราก็เป็นกันทั้งประเทศแหละ เป็นกันตั้งแต่รากหญ้า ยันซุปเปอร์ไฮโซ

ในส่วนของเด็กเป็นห่วงก็แต่ เด็กๆหัวกะทิที่สอบใด้เข้าไป มักไปโดนแนวคิดนี้แหละ ดองความสามารถไว้หมด เพราะจำนวนมากไม่รู้ว่า "เป้าหมาย" กับ "เป้ามั่ว" มันต่างกันยังไง เมื่อวันหนึ่งเรียนจบแล้ว ก็ไม่รู้จะศึกษาต่อไปเพื่ออะไร เพราะมันดันไม่มีสอบไม่มีให้คำแนน

จึงไม่ต้องสงสัย ทำไมพักหลังๆเราจะเห็นว่า คนเรียนเก่งๆ ไปเป็นลูกจ้างเป็นคนทำงานแรงงาน(อะไรที่ทำงานแลกเงินของนายจ้างผมขอถือว่าคืองานแรงงานหมด)

ส่วนพวกเรียนกะโหลกกะลา ผ่านได้ ก็เลือดตามแทบกระเด็น เรียนจบบ้างไม่จบบ้าง สอบไม่ติดไม่ได้เรียนต่อบ้าง พวกนี้ จำนวนมากวันหนึ่งดันกลายเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่เล็ก ให้คนเรียนเก่งได้อิจฉาเล่น

มันก็เพราะว่าเด็กพวกหลังนี้ไม่ได้โดน ระบบแปลกประหลาดนี้ข่มขืนนั้นแหละ พวกนี้รู้ว่า "ศึกษาเพืออะไร"

หลักการวิเคราะห์หุ้น เก็บทิศทางแล้ว ทำให้มันเป็นแนวทางในการเทรดยังไง ลองมาดูตัวอย่าง IVL

IVL ตามที่แนะนำให้ดูมานะครับ ผมจะเขียนแบบให้เอาไปคิดฝึกต่อได้นะ(ในวงเล็บนี้ผมเขียนเสร็จก็ขึ้นมาเขียนบอกที่นี่ว่ามันน่าจะมีประโยชน์มากถ้าคนอยากดูแรงของราคาเป็น)

อันนี้เราพูดกันแบบง่ายๆแบบบ้านๆไม่ต้องภาษาเทคนิคอะไรมาก ถ้าใครตามการตีกราฟของ Thai Trader มาสักพักจะมองออกเลย
ตัวเลขที่เขียนไว้ไม่ใช่เวฟ นะครับ อันนี้เอาปะไว้ให้เห็นว่าช่วงไหนยังไงเฉยๆ

เริ่มที่ช่วง 0-1 ดูราคาไล่ขึ้นไปเรื่อย macdo พุ่งปรี๊ดตาม ความหมายแบบบ้านๆคือ คนอยากได้มาก การที่ macdo(หรือ macd) พุ่งเพราะ คนไล่ราคาขึ้นทุกวัน คือให้ราคาสูงขึ้นไม่หยุดนั้นแหละแบบว่าไม่ขายให้ราคาตกเลย เคาะซื้อแพงขึ้นเรื่อยๆ อันนี้ให้เป็น #สมการที่1
   

หลังจากย่อจาก 1--> 2 แล้วก็เด้งขึ้นมาเป็น 3,4 ไอ้ตรงนี้ มันยึกยักๆ แล้วดูที่ macdo(หรือ macd) ราคาขึ้นไปเรื่อยแต่ macdo จมหายไปเลย ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ก็เพราะว่า
- พอมีคนซื้อที่ราคาสูงขึ้น คนอีกส่วน ก็เริ่มขายทำกำไรลงมา พอเด้งขึ้นไปอีกก็ขายอีก มันก็แสดงว่าคนเริ่มไม่คิดว่าจะอยากซื้อหรือถือไปในราคาสูงกว่านี้แล้ว ขึ้นแล้วขาย ขึ้นแล้วขาย ค่าเฉลี่ยของราคามันเลยไม่พุ่งสูงเหมือนช่วง 0-1 เราให้ตรงนี้เป็น #สมการที่2

ทีนี้เราเอาเหตุการณ์ในสมการที่ (1) กับ (2) มาพิจารณากันดูว่าเราจะวางแผนรับมือกับเหตุการณ์แบบนี้อีกยังไง

ลองฟังจากที่ผมพิจารณาก่อน แล้วคุณเอาไปพิจารณาเองด้วยนะครับ

ผมพิจารณาอยู่ในใจว่า
- สมการที่1 คนอยากซื้อมากคนมั่นใจว่าซื้อที่ราคาสูงกว่านี้ก็ยังมีกำไร จะด้วยเหตุผลห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ อาจจะผลประกอบการดี จะมีข่าวดี หรือเจ้ามือเข้า หรืออะไรก็ช่าง ผมไม่ได้อยากรู้ ที่อยากรู้คือว่าช่วงนี้คนอยากซื้อ นั้นแหละที่ผมได้ ผมคิดเป็นแผนในใจว่า วันหน้าถ้าเจออะไรแบบนี้อีกผมก็ตามมันไป

- สมการที่2 คนแม่งเริ่มกลัว พอราคาขึ้นไป มีไอ้คนมองโลกในแง่ร้ายขายตบลงมา พอเด้งอีกก็ขายตบลงมา อาการแบบนี้ ผมหลุดปากพูดออกมาคนเดียวว่าเห้ย "แรงเริ่มตก" คนเริ่มกลัวละ คนไม่มีเริ่มดูท่าทีว่าจะตามดีไหม คนมีก็เริ่มระบายของ ผมคิดเป็นแผนในใจว่า ชาวบ้านเขากลัวกรูจะห้าวใส่คนเดียวแบบว่าอินดี้พี่เป้เสลอก็ใช่เรื่องถ้ายังไม่มีตรูรอดีกว่าถ้ามีอยู่เอา มาเทียบกับทุนดูว่าควรขายออกบ้างหรือว่าเก็บไว้ต่อดี ทางไหนคุ้มก็ทำตามนั้น

- เมื่อพิจารณาทั้งสองสมการแล้วก็มาดูว่าเวลานี้มันคือเวลาไหนเราควรทำยังไง แน่นอนไอ้สองอันนั้นมันผ่านมาละ ถ้าเราพูดถึงอนาคตเราจะเลือกขายออก หรือซื้อเข้าเราควรจะดูตรงไหนยังไง ผมก็จะทำแบบนี้

1 มันมีสิ่งที่เกิดบ่อยๆอย่างหนึ่ง ถ้าจบเวฟ 3 มันมักไม่ลงต่ำกว่าเวฟ 1 เพราะงั้นแถวนั้นเป็นแนวรับที่ดี (ไปหาอ่านเรื่องเวฟได้ในบล๊อกนะครับ)งั้นผมจะรอดูที่ 20.7 กับแถวๆเส้น สีขาวนั้นแหละ ถ้าลงมาไม่หลุดตรงนั้น(คืออาจจะลงถึงหรือไม่ก็ได้) แล้วผมแยกสมาการ เหมือนที่ทำเมื่อกี้ได้ว่า เห้ยคนเริ่มไม่อยากขายไล่ลงอีกแล้วเว้ยพอราคาแม่งต่ำลงก็มีคนซื้อดักเก็บMACDOเลยไม่ลงต่ำลงไปเรื่อย ผมก็จะเริ่มจับตาหาจังหว่ะเข้า

2 ถ้าผมมีหุ้นอยู่ ผมคงขายออกไปหน่อย เหลืออีกหน่อยเอาไว้ไปลุ้นที่จุดที่ข้อ 1 จะซื้อเพิ่มหรือถืออันเดิมไว้ค่อยว่ากันอีกทีตามสถานการณ์ อย่าลืมพิจรณาต้นทุนของคุณประกอบ ตรงนี้ถ้าหลุด ผมคงต้องหาวิธีเซฟตัวเองสุดๆอะไรประมานนั้น

อันนี้ลองอ่านกันดีๆ แล้วเอาไปพิจารณาในแบบตัวเอง ผมว่ามีประโยชน์ไม่มากก็น้อย หุ้นปกติมันเกิดเหตุการณ์ 2 สมการนี้แทบทุกครั้ง ยกเว้นหุ้นปั่น ขึ้นพุ่งๆ แล้วตบลงเลย กับหุ้นที่เจอข่าวร้ายปัจจุบันทันด่วน แค่นั้น นอกนั้นก่อนจะลง ก่อนจะขึ้น มันจะมีช่วงเทสความอยากเพื่อความมั่นใจทั้งนั้นครับ


สมการที่ 1 ทางเทคนิคเรียกว่าเกิด convergence
สมการที่ 2 ทางเทคนิคก็เรียกว่าเกิด divergence นั้นแหละครับ

การเกิดอะไรแบบนี้ไม่จำเป็นว่าเกิดปุ๊บหุ้นจะกลับตัวเลย มันอาจจะเทสหลายๆรอบเพื่อความมั่นใจ อาจจะเนื่องว่าภาพที่ใหญ่กว่า มันยังน่าขึ้น หรือปัจ
จัยอื่นๆครับ

วิธีการที่มักใชัรับมืออาจจะกำหนดกฏของตัวเองเช่น ลากเทรนด์ไลน์ถ้าหลุดเส้นนี้ขายหรือใช้ ema เส้นตามแต่เราชอบ ถ้าหลุดตรงนี้ขาย หรือใช้elliott wave ก็ได้ เช่นย่อลงต่ำกว่า 61.8%(หรือเลขอื่นๆตามแต่เราชอบ) ของเวฟ .... แล้วขายอะไรแบบนั้น

คำว่าตามแต่เราชอบ ให้ดูทุนตัวเองประกอบ คนทุนต่ำ อาจใช้เส้นที่ลงลึกได้มากกว่าคนทุนสูงเป็นต้นครับ

เราควรจะทำยังไงในช่วงก่อนการประกาศข่าว เช่น QE

วันนี้จะโพสเรื่องQEตามเทรนด์เขาสักนิด เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่(555)โพสไปก็ปล่อยไก่ปล่อยเป็ดแน่ เอาแบบนี้แล้วกัน

เรื่อง qe คนรู้ละว่ามันจะมีการพูดกันวันนี้ การที่คนรู้ว่าจะพูดกันวันนี้ แอคชั่นมันออกมาหมดละ สังเกตุสิไม่ว่า หุ้น เงิน ทอง แทบทุกอันยึกๆยักๆ ไม่พุ่งไปไหน(คนไม่ไล่ราคา )

นั้นหมายความว่าโดยปกติคนเขาได้ทำอะไรเพื่อปกป้องตัวเองไปเสร็จเรียบร้อย (ปกป้องยังไง ก็คุ้มที่จะขายก็ขายไปละ คุ้มที่จะถือ ก็ถืออยู่ไว้) ช่วงเวลานี้ก็รอดูอย่างเดียว

   
เพราะฉะนั้น เรื่อง QE ในคืนนี้ก็เหมือนเกมส์ รัสเชี่ยนรูเลทท์ ที่เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปหยิบปืนมาจ่อหัวตัวเองก็ได้

สำหรับคนที่จะเครียดไม่สบายใจถ้าจะต้องเห็นราคาหุ้นของตัวเองตกลง แล้วดันไม่ได้ทำอะไรเพื่อปกป้องตัวเองก่อนที่จะมีการคุยเรื่อง QE คืนนี้ ก็คล้ายๆว่าเข้าไปนั่งต่อคิวยิง ถ้าเกิดยิงโดนรูที่มีลูกปืนก็เจ็บ ถ้าเกิดยิงไม่โดน คุณก็ไม่ได้อะไรเป็นพิเศษไปกว่า ได้เสียว แปบๆ

เพราะสุดท้ายคนที่ไม่ได้ไปเล่น กับคนที่เล่น ก็จะรู้พร้อมกันว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง

- ถ้าขึ้น คนที่ไม่ได้เล่นก็เข้าตาม ส่วนคนที่เล่นก็อาจจะซื้อเพิ่ม คุณประหยัด ค่าคอมมิสชั่น และ อาจจะมีโอกาสได้กำไรก่อนคนอื่นสักนิดนึง
แต่อย่าลืมว่าเมื่อตะกรี้ คุณเพิ่งเอาปืนจ่อหัวมา ถ้าโชคดีได้เงินเดิมพันที่ได้นั้นจะคุ้มกับความเสี่ยงที่จะเสียไหมน้อ

- ถ้าลง คนที่ไม่ได้โปรเท็คตัวเองไว้ก่อนหน้า ก็เข้าโรงบาลครับ ส่วนคนที่จัดการตัวเองไปแล้ว จะไปสนอะไร ก็เอาเวลาไปเดินเล่นแล้วรอจังหว่ะเข้าอีกที

เราทำอะไรไม่ได้เลยเพื่อที่จะให้ เขาประกาศตามที่เราต้องการ (หรือแม้แต่คุณแน่ใจได้ยังไงว่าเขาประกาศออกมาแบบนี้ แล้วหุ้นจะขึ้นร้อยเปอร์เซนต์) แต่เราเลือกที่จะปกป้องตัวเองได้นะ เราไม่เล่นเกมส์นี้ได้ แล้วมันก็เห็นๆอยู่ในกราฟ ว่าคนอื่นๆชาวบ้านชาวช่องเขาก็ทำกัน

เพราะงั้น ช่างหัว qe ไปหลับไปนอน แล้วรอดูว่าคนตัวโตๆ เขาคิดว่ามันดี หรือแย่ แล้วเราก็ตามพรุ่งนี้ สิบโมง

คนตื่นสายเท่านั้นที่เสียเปรียบ 5555

เช็คราคาทองคำและแนวโน้มของราคาช่วงนี้กันครับ

กราฟทองคำ ภาพรวมยังเหมือนเดิม ลุ้นให้ไม่หลุด 1270 สมมุติฐานว่า ที่ขึ้นมาจาก 11xx ถึง 14xx เป็นเวฟ แรกของขาขึ้น จะดูสวย แต่ถ้าหลุด 1270 ก็เดินทางไปใกล้โลว์เดิมเป็นอย่างน้อย
   

ในระยะสั้นนี้ แนวต้านสำคัญๆคือ ตรงจุดวงกลม เหลือง กับ แดง เส้นเทรนด์ไลน์ สีฟ้าข้างบนนั้นกดมาใกล้ครบปีละครับ เบรกตรงนี้ได้ถึงจะสำคัญ ถ้าไม่งั้นก็เล่นสวิงกันไป

ทองเป็นอีกตัว เด้งได้จากคืนหมาหอน เดี๋ยวไปดูอีกอันที่ เป็นตัวที่ได้รับผลลบจาก คืนหมาหอนนี้บ้าง เงินดอล


#กราฟทอง แบบสั้นๆ ตีบ่อยมากแล้ว มาดูที่ยาวขึ้นอีกนิดกราฟวัน สมมุติฐาน รอบก่อนของเราคือเด้งไป {4} เพื่อลงมา {5}

ในตอนที่ลงแบบนี้ ขอเพิ่มสมุติฐานอีกตัวคือ จังหวะไป {4} นั้นอาจจะเป็นเวฟที่ 1 ของขาขึ้น ซึ่งสมมุติฐานนี้ จะสวยคือ ลงมาแล้วไม่หลุด 1280 แถวๆที่วงกลมสีเหลือง ไว้นั้นแหละครับ

ถ้าหลุด ก็น่าเชื่อว่าจะลงไปใกล้ low ที่ {3} หรือ ไม่ก็ new low ซึ่งเป็น {5} ไปในตัว

เมื่อดู macd มันเหมาะมากที่จะลง {5} จะได้เห็นกันชัดๆอีกทีว่า คนไม่อยากขายมากกว่าโลว์ที่แล้วแค่ไหน (divergence ให้เห็นอีกที จะเป็นการ ชี้ให้เห็นว่า โอกาสลงต่ำกว่านั้นน้อยลงเรื่อยๆ คนถือยาวเก็บก็จะสบายใจกว่าครับ)

วิเคราะห์ ค่าเงินบาท ในช่วงนี้กันหน่อย


เมื่อยังไม่ลด qe ปุ๊บ ก็แสดงว่าอย่างน้อยเดือนหน้าจะมีเงิน usd เพิ่มเข้ามาอีก เงิน usd เลยอ่อนหนัก (ซึ่งมันก็หมายความว่าเงิน usd อ่อนนะ เงินบาทเราแข็งขึ้นหรือเปล่านี่อีกเรื่องหนึ่งต้องดูรายละเอียดอย่างอื่นพวกฝรั่งเข้ามาซื้อของบ้านเราแค่ไหนประมานนั้น)

   
แนวรับตอนนี้คาอยู่ที่เวฟ 4 เลย มี ema 200 รองอยู่ต้องเทสที่นั้นสักนิด ตรงนี้เป็นการสะท้อนเงิน usd ที่อ่อน พอฝุ่นพานิคหายตลบเมื่อไหร่ ลายมันจะออกละว่า เงินบาทไทยจะแข็งขึ้นเพราะฝรั่งเข้าไหม

ถ้าหลุดลงตามศรเขียวนั้น ได้ แนวต้านต่างๆของหุ้นก็อาจจะโดนแหกไปด้วย เพราะฝรั่งเอาจริงครับ

ดังนั้นก็แช่งเงินดอลกันนะครับ 555


QE กับสถานการณ์ สินทรัพย์โลก

qe เป็นเหมือนเสตียร์รอยด์ ที่ฉีดใส่สินทรัพย์ต่างๆทั่วโลก มันไม่ได้ทำให้ทิศทางเปลี่ยนไปไหนเลยนะ มันแค่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปเร็วขึ้น
เช่นเด้งจากแนวรับที่ควรจะเป็นเร็วขึ้นแทนที่จะเทสต่อให้ทุกอย่างกระจ่าง หรือหลุดลงไปเร็วขึ้น แทนที่อะไรจะกระจ่างเหมือนกัน

   
เดี๋ยวพอพานิคเริ่มซา มันจะปวกเปียก คนที่คลั่งเข้าใส่ถ้าไม่เซฟตัวเองและกลับเข้าสู่ความจริงเร็วๆ ระวังไว้นิดก็ดีนะครับ

ทัศนคติ ต่อ qe รายวัน จนเห็นอะไรก็เอา qe เป็นต้นเหตุทั้งหมด ที่ออกตามสื่อต่างๆทีวงทีวี เว็บซ้งเว็บไซท์ มันตลกจริงๆ ครับ อย่าไปเชื่อจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ฟังไว้เป็นข้อมูลพอ

ผมเคยบอกแล้ว เราคาดการณ์ทัศนะคติ คนแสนคนได้ แต่ว่าอย่าไปคาดการณ์ ทัศนคติ แค่ของลุงเบน กับเพื่อนๆของเขา เพราะสิ่งนั้นมันไร้ประโยชน์ มัน 50/50 มันเดา มันเป็นตุเป็นตะ แล้วมันก็หน้าหงายกันมาหลายครั้งแล้ว ครั้งล่าสุดนี้ก็เงิบกันทั่วโลกจริงไหม

มันไม่ใช่เกมส์ของเรา เราจัดการเดาว่าเขาจะเอายังไงไม่ได้ เหมือนที่เคยบอกในบทความก่อนหน้านี้ว่า เราจัดการที่ตัวเราได้

พอข่าวเรื่องไหนดังอย่าคลั่งจนลืมแนวทางของตัวเอง

คำเตื่อน จากคนเทรด ออแกนิค ไม่ชอบเสตียร์รอยด์ ไม่ชอบสารเคมีไดๆทั้งสิ้น มันฉีดมากรูดูก่อนเอาแช่น้ำให้สะอาด เกมส์ของตัวเองมาค่อยจัดเข้าปาก

วิเคราห์หุ้น set index วันนี้

แนวรับตอนนี้คือ 1450 1420 ตามลำดับ การซื้อขายไม่ออกแนวไล่ราคานะ ออกข่าวมากระตุ้นเปิดแก็พ แล้วนิ่ง กระตุ้นแล้วนิ่ง macdo นั้นเลยไม่พุ่งไปตาม

   
อาการแบบนี้เรียกว่าไม่ใช่ความอยากของตลาดโดยรวม ช่วงที่แรเงาเป็นช่วงเสตียรอยด์ที่ว่า สังเกตุกันดูว่า มันอยู่ช่วงไหนกำลังเป็นยังไงเอานะครับ อาการแบบนี้ไม่อยากปากเสีย

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

เรื่องแนวทางการวิเคราะห์หุ้น คุณมองหาอะไรในตลาดหลักทรัพย์ และใช้เครื่องมือหรือวิธีการถูกแล้วหรือยังมาดูกัน

ยาวอยู่ แต่นี้เป็นเรื่องที่ผมจั่วหัวเมื่อหลายวันก่อน เกี่ยวกับ "วิธีการวิเคราะห์หุ้น" แต่ค้างไว้ไม่ได้มาต่อวันนี้มาต่อ พร้อมกับเพิ่มเติมเรื่องให้เข้ากับสถานการณ์ ขึ้นครับ

1 องค์ประกอบที่ทำให้ราคาขึ้น มันไม่มีอะไรซับซ้อน มันขึ้นเพราะมีคนเสนอซื้อในราคาที่สูงกว่าราคาก่อนหน้านี้ มันก็ขึ้น ไอ้การเสนอซื้อในราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆนี้แหละ มันเก็บมาเป็นค่าเฉลี่ยได้ ไอ้ค่าเฉลี่ยของความอยากซื้อนี้แหละเราเอามาสังเกตุได้ว่า ราคามันใกล้จะกลับตัวหรือยัง

ถ้าช่วงยี่สิบวันก่อน มีการเสนอซื้อ สูงและเร็วมากเลย เมื่อเทียบกับ ช่วง 10 วันที่ผ่านมานี้ ซึ่งคนเสนอซื้อในราคาที่สูงขึ้น ลดต่ำลงมาก แบบนี้แหละเขาเรียกว่ากำลังตก โมเมนตั้มลดลง หรือ bearish divergence หรือหมีมา
   

คนอยากซื้อในราคาที่สูงขึ้นน้อยลงมันก็ใกล้กลับตัวแล้วหล่ะใช่ไหม เอาง่ายๆ หุ้นมันจะขึ้นไปถึงไหน มันก็ไปจนกว่าจะไม่มีคน "อยาก" ซื้อในราคาที่แพงกว่านั้นนั้นแหละ
-------------------------------------------------------------
2 องค์ประกอบที่ทำให้ราคาลง มันก็ตรงกันข้ามกับข้อ 1 ราคามันลงเพราะดันมีคนอยากที่จะขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาก่อนหน้านี้ ยิ่งเสนอราคาขายต่ำลงเรื่อยๆ มันก็ยิ่งลงเรื่อยๆ

แล้วก็เหมือนเดิมไอ้ความอยากขายในราคาที่ต่ำลงนี้แหละมันเก็บมาเป็นค่าเฉลี่ยได้ หลักการเดียวกันกับข้อ 1 ถ้ายี่สิบวันก่อน "ค่าเฉลี่ยของความอยากขายในราคาที่ต่ำลง" น้อยกว่า ของเมื่อ 5 วัน 10 วันที่ผ่านมานี้ แบบนี้เราก็ใช้สามัญสำนึก พิจรณาได้ว่าความอยากที่จะขายมันลดลง มันลดลงหมายความว่ามันหมดไปไหม "มันไม่ยังหมด" นั้นคือราคายังลงได้อีก แต่ว่าความอยากขายในราคาที่ต่ำลงมันน้อยลงเรื่อยๆแล้ว
-------------------------------------------------------------
นี้คือสิ่งที่ธรรมดาสามัญสุดๆ ในการหาการกลับตัว หา divergence มันไม่มีอะไรพิศดาร เหลือเชื่อ สักนิด มันคือค่าเฉลี่ยพื้นๆนี้เอง คุณสามารถ เอาวิธีนี้ไปใช้ได้กับแม้กระทั่ง ไปนั่งอยู่หน้าตลาดสด แล้วจดจำนวนรถขนผักชีที่ไปส่งในตลาด ในแต่ละวัน เสร็จแล้วเอามาหาค่าเฉลี่ย แล้วลองเทียบกันดูว่าเดือนนี้ กับเดือนที่แล้ว ความต้องการผักชี ในตลาดสดแถวบ้าน เพิ่มมากขึ้นหรือลดลงหรือยัง

ประเด็นรองที่จะพูดถึงคือ
ถ้าเรานั่งมองราคาหุ้น พอราคามันลงมาต่ำแล้วเราเข้าเก็บพร้อมกับพูดว่า "นี้มันหุ้นพื้นฐานดี" มันก็เป็นวิธีการที่ถูกต้องเลย ที่จะเก็บหุ้นพื้นฐานดีในราคาที่เราคิดว่ามันคุ้ม เว้นแต่ว่าถ้าคุณจะไม่เครียดเมื่อหุ้นลงไปต่อทีหลังนะ

ถ้าคุณเครียด มันเพราะว่า คุณนั่งมองความอยากของตลาด แล้วก็บอกว่าโอ้เย้ ซื้อมันเลย เพราะหุ้นตัวนี้มันจะเพิ่มมูลค่า

มันเหมือนกับ คุณอยากเอาเป็ดไปตุ๋นบำรุงกำลัง แต่นั่งจ้องไก่อยู่เพราะว่ามันถูกดี สุดท้ายคุณเลยพูดขึ้นว่าโอเค ซื้อหมูดีกว่า พอกลับถึงบ้าน คุณจะเซ็งเพราะว่า นี่กรูซื้อหมูมาทำไม

เหตุ และการกระทำ มันคนละเรื่องกัน ผลลัพธ์สุดท้ายมันเลยไม่ตรงใจคุณ คุณเลยเครียดไง เพราะคุณคาดอย่างหนึ่งกระทำอย่างหนึ่ง

1 ความอยากทำให้ราคาหุ้นวิ่ง ยังไม่เคยเห็นหุ้นที่คนเสนอซื้อ 2 บาท แล้วราคามันลงไป 1 บาท ในเวลาเดียวกัน

2 พื้นฐานดีผลประกอบการเยี่ยม ทำให้ ผลตอบแทนต่อหุ้นเพิ่ม เงินของคุณที่จ่ายไปมีพลังในการหาเงินเพิ่มขึ้น เขาเรียกว่า มูลค่าไม่ใช่ราคา เรียกบ้านๆว่า เงินจบโท ทำงานเหมือนกับเงินจบตรี แต่ได้เงินเยอะกว่า 555

3 ผลตอบแทนต่อหุ้นเพิ่ม ไม่ได้ทำให้ราคาหุ้นเพิ่มในทุกครั้ง และถ้าผลตอบแทนลดลงก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่ทำราคาหุ้นตก

คิดให้ดีว่าคุณกำลังมองหาอะไร แล้วใช้วิธีที่ถูก ในการจะกระทำอะไรลงไปครับ

- นั่งมองราคาก็น่าจะจับตาความอยาก ซึ่งมีวิธีง่ายๆอย่างที่บอกไปแล้ว

- ถ้านั่งมองหุ้นพื้่นฐานดี มูลค่าเพิ่มเรื่อยๆ ราคาลงถูกๆก็ไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย ราคาหุ้นขึ้นลง ไม่ได้ทำให้ หุ้นของคุณเพิ่มผลตอบแทนต่อหุ้นให้เลย

- สุดท้ายไม่มีเหตุผลอะไรคัดค้านเลย ถ้าคุณ จะอยากได้หุ้นพื้นฐานดี กิจการมีอนาคต ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเพิ่มเรื่อยๆ แต่ ในราคาที่ "คนไม่อยากขายในราคาที่ต่ำลงอีกแล้ว"

จริงไหม

วิเคราะห์กราฟเทคนิค ของหุ้น เด็ด BTS

BTS ลองเปลี่ยนตัวเลขเปลี่ยนบรรยากาศเป็นแบบไทยๆนะครับ 555 ผมเริ่มอึดอัดกับ ABC I II IV ไรพวกนั้นละ ทั้งทองทั้งไรเริ่มเอียน
เริ่มแรกกราฟทางซ้าย กราฟ DAY ดูที่ราคากันก่อน รูปเวฟหลักจะเป็น กขค ตอนนี้คือช่วง จาก ข ไป ค จุดสังเกตเหมือนที่เคยพูดถึงทุกครั้ง สังเกตุว่ามันหมดกำลังยังไง ดูตัวอย่างที่ ยอดของ ข ตรง ๓ ๕ MACDO ตกวูบ โดยที่ราคาขึ้น
   

อาการแบบนี้ ปกติ แนะนำให้ลากเทรนดไลน์ จาก ๒ ไป ๔ ถ้า MACDO ตกวูบ แล้วราคาลงมาโดนเทรนด์ไลน์แล้วไม่เด้งนี้ต้องทำอะไรสักอย่าง แต่อันนี้มันผ่านไปละช่างมันมาว่ากันตอนนี้ ช่วงปัจจุบัน

ช่วง ข ไป ค เหมือนทุกครั้ง ไม่ต้องไปคิดว่า ค จะจบที่ไหน ลากฟิโบวัด เวฟย่อยของ ค แบบในกราฟฝั่งขวา ตามแนวรับสำคัญๆ จับตาสัญญาน DIVERGENCE เอา มันเริ่มอยากขายน้อยลงเมื่อไหร่ก็ค่้อยพิจรณา วางวิธีซื้ออีกที

ช่วง ข ไป ค นี้ ลงแรงและเร็ว แรงและเร็วนี้คือโมเมนตั้มแรง แรงแบบนี้ ถ้าจะจับสัญญานเล่นสั้นก็ต้องเร็วต้องแม่นหน่อย ถ้าไม่เล่นสั้น ผมว่ารอ เห็นสัญญานการกลับตัวชัดๆค่อยเล่นไม่สาย

ดูสัญญานของ ค มัน CONVERGENCE อยู่ครับ แสดงว่ายังลงไม่สุด การลงล่าสุด ยังไม่โชว์ว่าคนอยากขายน้อยลง

แนวรับระยะสั้น 7.5 7.3 แนวต้าน 8.1 ตรง 8.1 ถ้าขึ้นไปถึงจริง แล้วไม่ผ่าน จะเป็นการชี้ว่า ที่ 7.3 เป็นเวฟ ๓ ส่วน 8.1 หรือต่ำกว่านั้นก่อนตก คือเวฟ ๔


วิเคราะห์หุ้นกราฟเทคนนิค CENTEL มาดูกันว่าแนวรับแนวต้านเป็นยังไง

กลับมาเช็คหุ้นรายตัวที่ เพื่อนๆแนะนำมาต่อนะครับ #CENTEL เริ่มดูที่กราฟวัน แนวรับ 27.3 แนวต้านอยู่ที่ แถวๆ 30.8-30.9 ตรงนี้เส้น ema200 พาดทับพอดีด้วย ถ้าเบรกตรงนี้ได้ แนวต้านต่อไปคือ 34.5 น่าจะไปชนเทรนด์ไลน์สีฟ้านั
   
้นพอดีครับ

ในกราฟ120 นาทีที่สั้นลงมา แนวรับ 29 แนวต้าน แถวๆ30.8-30.9 เช่นเดียวกับกราฟวัน

โดยรวมจับตาที่ 30.8-30.9 ถ้ายืนเหนือได้มีช่องกินระยะสั้นไปถึง34.5 แต่ถ้าไม่ได้ การลงมาที่โลว์เดิมเป็นอย่างน้อย เพื่อเทสโมเมนตั้มให้ชัดเจนอีกทีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครั


วิเคราะห์หุ้น MINT ดราฟเทคนิค

#MINT ดูกราฟ ทางขวาก่อนกราฟ120 นาที ตรง เวฟ3-5 มีdivergenceระยะสั้น เด้งมานี้มีแนวต้านสำคัญอันแรกคือ22 บาท ตรงเส้นเทรนด์ไลน์สีฟ้าทึบนั้นแหละครับ ส่วนแนวรับไล่ตามfibo
   


ในกราฟวันแนวต้าน 22.3-22.8 หรือแถวๆ เส้นเทรนด์ไลน์เส้นประสีฟ้า และ ema200สีน้ำเงินนั้นแหละครั

จากสองไทม์เฟรม 22-23 บาท จะเป็นตัวสำคัญ ถ้าออก ไปได้แนวต้านต่อไปคือ25 เล่นขาลงต้องเร็วครับ ไปเจอต้านแล้วแรงตก ไม่ผ่านก็ควรจะต้องตัดสินใจเด็ดขาด


วิเคราะห์หุ้น KTB กราฟเทคนิค

#KTB ธนาคารกันบ้าง ดูกราฟวันก่อน ทางซ้ายมือ ตอนนี้ทำทรงอยู่ในเวฟ 5 คอนเฟิร์มด้วย macdo นั้นที่ชี้ให้เห็นเป็นคำง่ายๆว่า ความมั่นใจในขาลง เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ
   


ในกราฟทางขวาเป็นกราฟ120 นาที ดูเฉพาะช่วงของเวฟ 5 นั้นครับ ทรงตอนนี้คืออยู่ในช่วงพยายามจะเกิดเวฟ 4 เพื่อ ชี้ชัดเวฟ 3 นั้นก็คือมีสิทธิ์ลง อีกสักครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าคนอยากขายในช่วงสั้นๆนี้น้อยลงจริง

โดยมีแนวต้านแรกเป็น17-17.5 บาทนี้แหละ และจุดสำคัญที่สุดคือ 18 ถ้าตรงนั้นผ่านไปได้ ถึงคอนเฟิร์มว่าเวฟ 5 ใหญ่ของขางลงนี้น่าจะจบไปแล้ว


ดูตัวอย่างการใช้งาน Elliott wave ร่วมกับ MACD ที่กราฟทองคำกันครับ

จากโพสก่อนหน้า เรื่อง Elliott wave มีจริงหรือ ผมจะยกตัวอย่างที่ทอง เราจะตีความสิ่งที่ได้มาจากกราฟยังไง จะเอาเวฟ กับ macd มาใช้ร่วมกันยังไง ถ้าอ่านโพสก่อนหน้านั้น จะเห็นภาพเลยที่นี้นะครับ

เริ่มแรกเราต้องเข้าใจก่อนว่าตัวเราดูกราฟ ขนาดเท่าไหร่ อันนี้เป็นกราฟ ชั่วโมง แน่นอนว่าถ้าเราดูในไทม์เฟรมที่เร็วกว่านี้มันจะมีเทรนด์ย่อยๆอีกเยอะ ซึ่งถ้าเราเล่นไทมเฟรมนี้ เราจำเป็นต้องมีเงิน cover การแกว่ง ของเทรนด์ย่อยในนี้อีก ยิ่งถ้าใครเล่นแบบฟอร์เร็ก คุณ จะรู้ดีว่าเล่นไทม์เฟรมใหญ่เงินหน้าตักต้องกว้างกว่า ไทมเฟรมเล็ก เพราะการแกว่งของราคามันจะเยอะกว่า อาจจะโดนกระชากหลุด เงินหน้าตักหมดได้

   
เข้าเรื่องที่ทอง ตัวอย่างนี้จะเป็นส่วนที่ทำกรอบแรเงาไว้นั้นนะครับ เวฟ v นั้นคือเวฟที่ 5 จากบทความที่แล้วก็คือเวฟที่ 5 เป็นช่วงที่คนสงสัยว่ามันจะไปต่อไหม สังเกตุดู macd มันลดลงเรื่อยๆตั้งแต่ iii แล้ว นั้นคือคนเริ่มจะดูเฉยๆเป็นหลัก จะด้วยมันขึ้นมาประมานหนึ่งแล้ว หรือใกล้แนวต้านหลักๆแล้วก็แล้วแต่

ประเด็นคือให้สังเกตุ macd เจ้า macd นี้พ่อแม่ต้นกำเนิดของเขาก็คือ ค่าเฉลี่ย นั้นเอง เอาไว้ดูว่า มีการไล่ราคาขึ้นเร็ว หรือช้า แค่ไหนเมื่อเทียบกว่าช่วงอดีต

หลังจากที่ v เริ่มมีความคลุมเครือ ว่าจะขึ้นไปต่ออีกไหม มันก็จะเป็นการเริ่มทำ เวฟ 1 ของขาลง เจ้าเวฟ 1 ของขาลงลงมาถึง เส้นfibo 161.8% เส้นนี้มีประวัติยังไงลองไปดู กราฟเดิมที่ผมตีของทอง ตรงนั้นจะเขียนไว้เยอะ มันยาวเอามาว่าที่นี้ เดี๋ยวจะได้น้ำไปซะมาก

เวฟ 1 กับ v คือช่วงที่คนคลุมเครือว่ามันจะขึ้นหรือลง จุดสังเกตุ จุดวัดจะเป็นแนวรับแนวต้านสำคัญๆ พอหลุดแล้วจะเป็นการคอนเฟิร์มเทรนด์ หรือเป็นการ ชัดเจนในทิศทาง

เราจึงเห็นว่า จากที่เด้ง ไป 2 แล้วลงมา 3 ลงแรงและเร็ว พุ่ง เพราะว่ามีความชัดเจนว่าจะลงแล้ว คนไล่ซื้อในราคาที่แพงกว่านั้นไม่ได้แล้ว(ในช่วงเวลานั้นนะ)

ทีนี้ดูตรงเด้งจาก 3-4 ตรงนี้เป็นจุดที่เริ่มต้นเข้าสูความคลุมเครืออีกครั้ง คือ ไม่แน่ใจว่าจะลงไปกว่านี้อีกไหม แต่ดู macd ซึ่งแสดงถึงความอยากขายในช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้า ถ้าไม่มีปัจจัยพิเศษ จริงๆ macd พุ่งแบบนี้ โอกาสที่คนจะมั่นใจว่า จะกลับตัวเป็นขึ้นต่อเลย มีน้อยกว่าที่ จะลงมาเพื่อเทสอย่างน้อยที่ เวฟ 3 อีกสักทีเพื่อให้มั่นใจว่า ที่ราคาต่ำกว่านี้ คนไม่ค่อยขายกันแล้ว

ในขาขึ้น ถ้าที่ยอดก่อนหน้านั้น คนซื้อแรง ราคาไล่ขึ้นไปเร็ว ทำให้ macd พุ่ง ถ้าราคาย่อลง มันมักจะเด้ง ขึ้นไปอีกครั้ง เพื่อไปทดสอบว่า ที่ราคาสูงกว่านี้ ยังมีคนอยากซื้อไหม ถ้าคนไม่อยากซื้อในราคาที่สูงกว่านี้ ราคามันก็จะขึ้นช้าๆ ไม่แรงเหมือนตอนก่อนหน้านี้ใช่ไหมครับ ความแรงที่น้อยลงนี้แหละ เป็นการส่งสัญญานการกลับตัว

ในขาลง ถ้ามีการพุ่งลงแรงๆ ราคาไล่ลงเร็วต่อเนื่อง macd ก็จะลงลึก เมื่อมีการเด้ง มันมักจะลงต่อเพื่อมาเทสว่า ที่ราคาต่ำกว่าโลว์ก่อนหน้านี้ยังมีคนอยากขายไหม เหมือนกับ ขาขึ้นแต่กลับหัวกัน

นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เราจะเอาไว้ดูว่าคนอื่นคิดกันยังไง จากข้อมูลที่ได้จากกราฟ แต่ต้องหมายเหตุตัวโตๆนะว่าดูไทม์เฟรมไหนต้องตัดสินในช่วงของไทม์เฟรมนั้น เพราะ indicator ส่วนมากมันสร้างมาจาก ค่าเฉลี่ย ของแท่งเทียนในแต่ละช่วง ซึ่งจะต้องมีจำนวนแท่งเทียนที่เหมาะสมของแต่ละไทม์เฟรม เช่น ระดับวันมี 30 แท่ง ระดับเดือนอาจจะมีแค่แท่งเดียว ซึ่ง indicator มันจะให้ค่าไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

Elliott wave มันใช้ได้จริงหรือ เหตุผลของมันมีบ้างไหม ลองมาดูที่นี้ครับ

เมื่อผมพูดถึงเวฟนั้นเวฟนี่ในกราฟ คนจำนวนมากอาจจะคิดว่ามันปัญญาอ่อนไร้เหตุผล ราคามันจะขึ้นไปเป็นเวฟเท่านั้นแค่1 ถึง 5 นั้นได้ไง

มันไม่แปลกหรอกที่จะคิดว่ามันไร้เหตุผล เพราะถ้าดูเผินๆ ผมก็คิดว่ามันคือเรื่องบ้าบอ คอแตก แหกตาชาวโลก จะมาเวฟนั้นเวฟนี้ทำไม

   
แต่ทีนี้มันมีเหตุผลอยู่แบบนี้ครับ อย่างที่ผมเคยพูดประจำ เรื่อง
คลุมเครือ --> ชัดเจน -->คลุมเครือ
ชีวิตของราคาหุ้นมันมีวงจรแค่นี้จริงๆ
สมมุติว่า เริ่มจาก
1 "คลุมเครือ" ว่าจะขึ้นไหม == sideway
2 "ชัดเจน" ว่าขึ้น พอขึ้นไปเรื่อยๆแล้ว == uptrend
4 "คลุมเครือ" ว่าจะขึ้นต่อไปอีกไหม == sideway
5 "ชัดเจน" ว่าลงแน่แล้วคนไม่ซื้อในราคาที่แพงกว่านั้น ==downtrend
6 "คลุมเครือ" ว่ามันจะลงไปอีกหรือเปล่า == sideway
7 ก็กลับขึ้นไปที่ ข้อ 1 วนอยู่อย่างนี้จนกว่าบริษัทจะล้มหายตายจากไป

ผมก็ไม่รู้ว่าคนที่คิด elliott wave นี้เขาคิดแบบนี้หรือเปล่า แต่ว่ามันเข้ากัน และถ้าเราจะไปนั่งเขียนนั่งคิด แบบข้อ 1 -7 นั้นวนไปวนมา มันจะยากที่จะจินตนาการเห็นภาพ ซึ่งการทำเป็นเวฟ นี้แหละ มันทำให้เราคิดกับมันง่ายๆ หลับตาปุ๊บรู้เลยว่าเราอยู่ตรงไหน

เวฟ 1 "คลุมเครือ" ว่าจะขึ้นไหม
เวฟ 2 ชี้ชัดว่าเกิดเวฟ 1 คือไม่ลงไปต่ำกว่านั้นแล้ว
เวฟ 3 เมื่อ "ชัดเจน" ว่าไม่ลงไปต่ำกว่านั้นมันก็ขึ้นพรวต
เวฟ 4 ชี้ชัดว่าเกิดเวฟ 3 คนเก็งกำไรกันมามากละ พอใจที่จะขายแล้ว
เวฟ 5 "คลุมเครือ" ว่ามันจะขึ้นต่อไปอีกไหม

ทีนี้จะเห็นแล้วใช่ไหมครับ ว่าไอ้เวฟปัญญาอ่อนนี่มันเกี่ยวข้อง และมีเหตุมีผลยังไงกับอารมณ์ในตลาด

- ในความคลุมเครือใหญ่ จะมีความชัดเจนและคลุมเครือย่อยๆ รวมกันอยู่
- ในเทรนด์ใหญ่จะมีเทรนด์ย่อย รวมกันอยู๋
- ในเวฟใหญ่จะมีเวฟย่อยรวมกันอยู่
--------------------------------------------------------------
จบเรื่องเวฟ มาดูว่าเราต้องใช้อะไรร่วมกับเวฟ

การทายใจคนคนหนึ่ง มันยากเย็นสุดๆ กว่าการทายใจคนแสนคน ล้านคน เพราะไอ้คนๆเดียวนั้น มันมีแต่ออกหัวก้อย 50/50 เราเรียกการทายใจคนๆเดียว ง่ายๆ ว่าเดาสุ่ม นั้นเอง

ส่วน คนแสนคนล้านคนนั้น เรารู้ว่าส่วนใหญ่เขาคิดยังไงกันได้ เนื่องจากว่าเรามีวิชาสถิติ เราหาค่าเฉลี่้ย ของทัศนคติ ของคนกลุ่มนั้นต่อ เรื่องอะไรสักอย่างได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องที่มีสิทธิถูก 50/50 ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือ มันไม่ใช่การเดาสุ่ม นั้นจึงเป็นสาเหตุให้โลกนี้มี
1 การทำโพล
2 การสำรวจวิจัยตลาด เพื่อวางแผนผลิตและจำหน่ายสินค้า
3 การดูว่าคนส่วนมากคิดยังไงกับหุ้นตัวนั้นๆ ณ ช่วงเวลาหนึ่งๆ

คนส่วนมากมั่นใจในทางเดียวกัน มันก็ชัดเจน
คนส่วนมาก ชั่งใจ กล้าๆกลัวๆ มันก็คลุมเครือ

ซึ่งแน่นอน ผมบอกแล้วการทายใจคนๆเดียว มันเดา มัน 50/50 ไม่เว้นแม้แต่การทายใจตัวเอง คุณเคยเซ็งกับการเคาะ ซื้อมั่วๆบ่อยไหม นั้นคือตัวอย่างที่ดีที่ชี้ให้เห็นว่า ทายใจตัวเอง ยากกว่า ทายใจคนแสนแค่ไหน

เราจึงเอา indicator ไปใช้ร่วมกับ elliott wave เพื่อจับตา การกลับตัว การเปลี่ยนทัศนคติ ต่อราคาหุ้น ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กว่าการ นั่งจิ้ม นั่งคิดเดาใจตัวเองไปวันๆครับ

เพิ่มเติม เนื่อหานี้ที่นี้นะครับ --> คุณมองหาอะไรใน เทคนิคคอล คุณเริ่มศึกษาถูกทางหรือยัง มานี้ ที่นี้มีคำตอบ

สรุปการซื้อขาย ณ วันที่ 4 ก.ย. 2556

สรุปการซื้อขาย ณ วันที่ 4 ก.ย. 2556
ยอดซื้อขายสุทธิ ซื้อขาย สลับกันไปในแต่ละกลุ่ม เมื่อเราดูแบบรายวัน ทำให้เห็นว่า ระยะสั้น มันไม่ได้มีความมั่นใจของกลุ่มคนไหนเป็นพิเศษ นั้นเอง ถ้ากลุ่มไหนมั่นใจเป็นพิเศษในเทรนด์ เขาก็จะ ซื้อๆๆๆๆ หรือ ขายๆๆๆ ไม่สลับไปรายวันแบบนี้ครับ เอาตรงนี้ไปใช่ร่วมกับกราฟราคา เราจะรู้ว่าทำยังไงให้เหมาะกับตัวเอง

   
เช่นเราชอบเล่นสั้นก็ต้องหาทางเล่นสั้นเล่นเร็ว ถ้าเราชอบเล่นยาวขึ้นมาหน่อย เจออะไรแบบนี้อาจจะต้องรอไปก่อนค้าบ ความมั่นใจกลับมาค่อย take action ไม่ว่าจะซื้อหรือขาย


วิเคราะห์หุ้น ราคาทองคำ และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา รายวัน

หุ้นเด้งมายังติดต้าน เดิมอยู่ให้เวลาเทสสักหน่อย แนวทางยังเหมือนกราฟเดิมๆที่เคยตีแล้ว เด้งมาเป็นเวฟที่ 4 ของเวฟ c

เงิน เงินพยายามยืนเหนือแนวต้าน 32 แต่ความแรงของการอ่อนตัวของค่าเงินบาท เริ่มอ่อนและช้าลงบ้างแล้ว ซึ่งน่าจับตามองมากว่าถ้าเกิดพักตัวชั่วคราว จากแถวๆ 28 บาทกว่าๆ มาถึงยอดตอนนี้ จะเป็นเพียงแค่เวฟที่ 1 ของขาขึ้นมันหรือไม่

ส่วนทองคิดว่าต้องระวังให้มาก คนเล่นสั้น ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาเปิดซื้อสักเท่าไหร่ เป้าระยะกลาง เหมือนที่เคยโพสไปทุกครั้ง เด้งมา {4} มีสิทธิ์ลงเพื่อปิด {5} และการลงเพื่อเปิด{5} นี้ ถ้าเกิดขึ้น จะยิ่งเห็น bullish divergence ชัดขึ้นไปอีก
   

เทคนิคคอลหุ้น ดูแต่กราฟ ราคา ระวังอะไรบังตาให้ไปรับในราคาที่ต้องติดดอย

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบเรื่องฟิสิกส์ เรื่องดาราศาสตร์ ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ หรือดูสารคดี นี่ก็โคตรชอบ

เวลานักดาราศาสตร์ ที่เขาทำหน้าที่ค้นหาดาวเคราะห์ จากระบบสุริยะอื่น เขาจะมีวิธีในการค้นหามันแบบอ้อมๆครับ เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองหาด้วยการดู ใช้ตา ใช้กล้องทั่วๆไป เพราะระยะทางที่ไกล และแสงจากดาวฤกษ์อื่นๆ มันจะบดบัง ทำให้เรามองไม่เห็นดาวที่เรามองหาจริง
   

แต่คนเราไม่จนปัญญา ก็หาทางได้ ใช้การมองหาทางอ้อม เช่น ผลกระทบของแรงโน้มถ่วงที่มีผลต่อแสงของดวงดาว หรือคาบการกระพริบของแสงของดาว เพื่อที่จะได้รู้ว่ามีบางสิ่งอยู่ตรงนั้น คิดหาไปๆมาๆ จากการที่มองไม่เห็น นักดาราศาสตร์พวกนี้ สามารถรู้ถึงขนาดประมานคร่าวๆของดาวเคราะห์ดวงนั้นเลยด้วยซ้ำ

ที่ผมพูดมานี้ให้ลองมาคิดใช้กับหุ้นดู ครั้นจะไปมองกราฟ แล้วหาแนวรับแนวต้านกันตรงๆ มันยากที่จะบอกได้ว่าต้านรับไหนมันแข็งแรง เพราะมันมีของบังตาเยอะเหลือเกิน วิธีการ ให้สังเกตุพลัง ของมันครับ สังเกตุจากไหน ดู indicator เลย

ถ้ามีบางสิ่งที่สำคัญซ่อนอยู่ที่ราคานั้นๆ มันจะเกิดผลกระทบให้เห็นใน indicator เช่นพวก macd (ตัวนี้ผมชอบที่สุด)

แนวรับแนวต้านสำคัญ เมื่อราคาไปถึง indicator จะโดนหน่วง หน่วงมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่ก้บความสำคัญของต้านนั้นๆ ในไทมเฟรมที่สั้นลง มักเกิดdivergence เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ มันก็แสดงให้เห็นว่า แนวต้าน-รับนั้นมีสิ่งพิเศษอยู่ ไม่ใช่ต้านดาดๆทั่วไป

มันสามารถหน่วง indicatorได้แสดงว่ามันเป็นแนวรับหรือต้าน ที่คนในตลาดให้ความสำคัญมาก เราก็ต้องจับตาระวัง

นี่เป็นวิธีหนึ่ง ในการมองหาสิ่งสำคัญทางอ้อม เพราะมองโต้งๆ เผินๆมันไม่เห็นได้ทันทีในกราฟครับ

ระยะทาง และแสงดาวฤกษ์ ทำให้เรามองหาดาวเคราะห์เป้าหมายไม่ชัดฉันใด

ราคาหุ้นก็เป็นตัวหลอกตัวบังตา บังสติ ของเราต่อหุ้นหุ้นเป้าหมายฉันนั้น

ราคามันหลอกมันเฟลได้ แต่ indicator มักไม่หลอก ถ้ามันลดความร้อนแรง ลงก็เพราะคน take action น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นต้านหรือรับ ขาขึ้นหรือลง แนวรับแนวต้านที่สำคัญ จะมีพลังงานอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่นอน ดังนั้นก็ขอเชิญคุณ ริว จิตสัมผัส ครับ


เริ่มที่ ลุง Michio จบด้วย ริว จิตสัมผัส เห้ออออ