มีคำถามคาดคั้นจากเพื่อนฝูง ถึงการใช้ ฟิโบนัคซิ fibonucci มันใช้ยังไง และทำไมมันถึงเชื่อได้ (คือถ้าพูดแบบเพื่อนฝูงกันก็คือ ทำไมกูต้องเชื่อว่ามันได้ผล)
คำตอบคือ มันเชื่อไปเลยไม่ได้นะ ถ้าหวังว่าจะใช้มันเป็นจุดตัดสินใจเข้าซื้อ หรือขายเลยน่ะ แกเชื่อมันเท่ากับแกเดาสุ่ม แต่ยังดีหน่อยที่แกสุ่มแบบมีขอบเขต อาจจะฟลุ๊คถูก เหมือนการลากเส้น fibo retracement จาก สูงสุดไปต่ำสุด ที่สงสัยกันมากว่าบางทีชนก็เด้งจริงบางที่ก็ไม่เด้ง
ถ้าอยากใช้ได้ผล อยากรู้ว่าเส้นไหนเราควรให้ค่าให้น้ำหนักมันมาก มันต้องใช้อย่างอื่นด้วย
ฟิโบนัคซิมันเป็นจุดที่คนใช้ในการระวังเนื่องจากเริ่มแรกเลยมันเป็นสิ่งที่มนุษย์สังเกตุธรรมชาติ และได้ผลลัพธ์เป็นสัดสวนนี้ในหลายๆสิ่ง แล้วเชื่อว่าเมื่อเรารับรู้สิ่งต่างๆที่เป็นสัดส่วนนี้ แล้วมันจะส่งผลต่อจิตใจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ยกตัวอย่างนะ
สัดส่วนของคน ไม่ว่าใบหน้าหรือแขนขา สำหรับคนที่พวกเราคิดกันว่าสวยหล่อ หุ่นดี ไปจนถึงเหมาะสำหรับเป็นพ่อเป็นแม่ของลูก คือเห็นแล้วรู้สึกว่ามีพันธุกรรมดีนั้น พอไปวัดแล้วมันได้สัดส่วนกว้างยาวในแบบฟิโบนัคซี่
ส่วนคนที่ผิดสัดส่วนไปนั้น เราเห็นแล้วรู้สึกหนักใจมากกว่าจะสบายตา
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายสิ่งอย่างนับไม่หมดไม่ถ้วนในธรรมชาติ ในจักรวาลนี้เลยด้วยซ้ำ การเรียงตัวกันของเกสรดอกไม้ ปกติเรียงแบบฟิโบนัคซี่ เราจะเห็นมันสวยงามน่ามองสบายใจ ถ้ามีดอกไหนมีเกสรเกินมาสักแถวสักเม็ด เราจะรู้สึกเลยว่าดอกนี้มันไม่ปกติ อาจจะเป็นดอกพิการหรืออะไรก็แล้วแต่ซึ่งทำให้เราไม่สบาย
ในราคาหุ้น เราใช้มันร่วมกับ elliott wave ใช้ยังไง ง่ายๆอย่าไปคิดมาก ใช้ดูว่าถ้าเวฟ 1 มีขนาดเท่านี้ แล้วเวฟ 2 ได้ขนาดเท่านี้ ในเวฟ 3 มีจุดไหนบ้างที่ไปถึงแล้ว คนจะยังสบายใจกับมันอยู่ ไม่ใช่สบายใจกับรูปกราฟนะ สบายใจกับ ผลกำไรที่จะได้เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ราคามันได้วิ่งขึ้นมาแล้ว ในขาลงก็เช่นกัน ราคามันลงมาจนถึงจุดที่โดนใจแล้ว มันต้องเริ่มหยุดเพื่อเทสว่าจะลงอีกไหม
ดังนั้นเวลาที่ราคาไปถึงจุด ฟิโบนัคซิที่สำคัญ เมื่อวัดจากเวฟที่เป็นต้นทุน มันต้องมีการเทส ว่ายังไปต่อไหม ดังนั้นเวลาราคาไปชน มันต้องมีอาการออก ไม่ว่า ชนแล้วหยุดหรือย่อ ในขาขึ้นที่ไปชนแนวต้าน หรือไปชนแล้วหยุดหรือเด้ง ในขาลงที่ไปชนแนวรับ
มันต้องหาความมั่นใจก่อนทั้งนั้น!
มีทุนเท่านี้ ถ้าราคามันขึ้นไปถึงตรงนี้ มันจะยังสบายใจหรือ เริ่มไม่สบายใจที่จะถือหรือยัง คือสิ่งที่เป็นต้นเหตุผลเดียวกันกับที่เรา เห็นคนหน้าตาสมส่วน fibo แล้วรู้สึกว่าสวยหล่อสบายใจสบายตาที่จะมอง แล้วพอไปเห็นคนหน้าตาเบี้ยวๆบิดๆ แล้วรู้สึกถึงความผิดปกติ ไม่เป็นธรรมชาติ ของคนเรานั้นแหละ
ทุนของคนที่มีผลกับตลาดมักอยู่ที่เวฟแรกๆทั้งนั้น แต่อาจจะเป็นเวฟแรกๆของเวฟ สาม หรือของเวฟ ห้า หรือเวฟ หนึ่ง ก็แล้วแต่แผนแต่ไม้ ที่เขาเข้า มันจะมีเวลาที่เขาสบายใจที่จะถือรอดูอยู่ทั้งนั้น
คำถามต่อไป ถือรอดูอะไร ?
ก่อนจะตอบคำถามนี้ เราขอถามนายว่า มนุษย์ทุกคนต้องแต่งงานกับคนที่หน้าตาสวยหล่อ และเชื่อว่าคนสวยหล่อนั้นๆ เป็นคนดีที่น่าอยู่ด้วยไหม คำตอบคือไม่ใช่ไหมละ
มันมีอะไรหลายอย่างที่เราต้องดูด้วยจากคนสวยคนหล่อพวกนั้น นายคงไม่อยากแต่งงานกับคนสวยแบบลำยองหรอกจริงไหม
แต่นายปฏิเสธไม่ได้ที่เดินผ่านลำยองแล้วต้องเหลียวหลังมอง และคิดว่าถ้าเขาเป็นภรรยาจริงก็คงดี ใช่หรือไม่
อย่างที่บอกไปแต่แรก ฟิโบนัคซิเป็นจุดใช้ระวังเป็นจุดที่เห็นแล้วต้องหยุดดูว่างั้นเหอะ การระวังนี้เราระวังอะไร ก็ระวังรอดูคนอื่นไงว่าเขาคิดยังไง ไปเจอต้านนี้แล้วไม่ค่อยมีคนไล่ซื้อแล้วก็คงต้องเริ่มวางแผนปล่อย หรือไปถึงรับนี้แล้วไม่ค่อยมีคนไล่ขายแล้วก็คงต้องเริ่มวางแผนซื้อในทางตรงกันข้ามนั้นเอง
การดูว่าคนอื่นคิดไง อันนี้ก็ไปดูเรื่องโมเมนตั้ม (ไม่อธิบายตรงนี้หาอ่านดูครับช่วงนี้เขียนเรื่องนี้เยอะมากไล่ๆลงไปดูยังไม่มีเวลาเอาลงบล๊อกสักที)
จะเห็นว่าจะแต่งงานกับสาวงามก็ยังต้องดูนิสัย จะเลือกซื้อขายหุ้นราคางามๆ ก็ยังต้องดูแรงดูสถานการณ์ประกอบ
และเราก็เตือนนายๆเพื่อนในเพจเราแบบความหวังดีของเพื่อน เวลาศึกษาหรือ่านหนังสือ อย่าเพิ่งเชื่อ และยิ่งอย่าเพิ่งเชื่อแบบสิ้นเชิงถ้านายยังเพียงแต่แค่ฟังเขามา ไม่ว่าคนที่บอกจะยิ่งใหญ่เป็นเทพเจ้ามาจากไหน มันไม่ได้การันตีว่าสิ่งที่เขาทำหรือพูดนั้น "จะใช้ได้ผลกับนายด้วย" ให้นายใช้เวลาศึกษา จนมันคิดได้เป็นคำ เป็นนิยามจากปากนายเอง
นั้นแหละมันคือสมองนายย่อย องค์ความรู้แล้ว ถึงตอนนี้ จะไม่ต้องมีใครมาบอกนายว่านั้นถูกหรือผิด เพราะมันไม่สำคัญเลย แต่สิ่งที่นายจะได้ นายจะรู้ว่านายต้องใช้อะไรเวลาไหน เหมือนนักมวยไทย เขาไม่ได้คิดหรอกว่าพอเข้าวงในต้องกอดคอตีเข่า มันมาอัตโนมัติ จากการฝึกฝนและการเรียนรู้จนองค์ความรู้โดนย่อยเป็นหนึ่งเดียวพร้อมใช้แล้ว
ไอ้พี่เลี้ยงข้างล่างเวทีก็แหกปากไปงั้นแหละ นักมวยบนเวทีไม่ได้ยินหรอก ให้สอนข้างเวทีแบบแหกปากเสียงดังแค่ไหน ถ้านักมวยไม่ฝึกมาดีมันไม่รอดหรอก
เมื่อไปถึงตรงนั้นนายจะเห็นว่าตำรา หนังสือ หรือ สิ่งที่เขาว่า มักมีความตลกจำนวนมากแฝงอยู่
สุดท้าย เราถามนายบ้าง นายงงตรงนี้มากี่ปีละ
ตอบ ก็เป็นปีๆแล้วละเพื่อน เราไม่ค่อยมีเวลาศึกษาเหมือนนายเลย
งั้นเราแนะนำให้นายให้เวลากับมันศึกษามันโดยเอาเวลาที่ งง มา 1 ปีนั้น คูณด้วยตัวเลข 32.8% 61.8% 1.618% 2.618%...... ไปเรื่อยๆจนกว่านายจะพอใจและสบายใจที่ยังศึกษาอยู่
วันนั้นนายอาจจะพบอะไรบางอย่าง ว่าโมเมนตั้มของความอยากรู้ของนายไม่เคยลดลงเลย ยิ่งไปไกลยิ่งรู้สึกว่าไม่รู้ แล้วมันก็จะยิ่งอยากรู้เพื่อนเอ๋ย