Home »
» วันนี้มาดู ค่าเงินกับหุ้น บอกอะไรกับ การไหลของเงินฝรั่งที่ค้างไว้ตั้งแต่หลายวันก่อนครับhttps://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1504045_607574772612731_1514044921_n.jpg
01:53
วันนี้มาดู ค่าเงินกับหุ้น บอกอะไรกับ การไหลของเงินฝรั่งที่ค้างไว้ตั้งแต่หลายวันก่อนครับเริ่มแรก มี2 หัวข้อที่เคยโพสไปแล้วแนะถ้าไปอ่านเพิ่มจะเข้าใจมากขึ้น1. http://goo.gl/zsKJi4 อันนี้จะเป็นการทำความเข้าใจำกับ การแปรค่ากลับไปกลับมาระหว่าง ต้องแลกเงิน เพื่อเอาไปซื้อหุ้น แล้วขายหุ้นเพื่อแลกกลับไปเป็นเงิน การได้กำไรหลายต่อจากกระบวนการแปรสินทรัพย์นี้ครับ โดยหัวข้อนี้ยกตัวอย่างในขอบเขตที่เริ่มจาก วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ เป็นต้นมา
2 . http://goo.gl/cPoAN3 อันนี้จะเป็นการอธิบายเพิ่มจากข้อ 1 คือ หลังจากเข้าใจข้อ1 ว่าการที่ฝรั่งจะถือเงิน $ เข้ามาลงทุนในไทยต้องแลกต้องอะไรแล้ว แล้วเราจะสังเกตุกระบวนการตรงนี้ว่ามีผลสัมพันธ์กันระหว่างค่าเงินบาทกับหุ้น ยังไง
ต่อไปมาเข้าเรื่องที่จะพูดกับรูปกราฟนี้กันครับ
กราฟนี้ฝั่งซ้ายคือค่าเงินบาทต่อ USD ส่วนฝั่งขวาคือตลาดหุ้นเซทของเราเป็นกราฟในระดับ week โดยมีขอบเขตที่เราจะดูคือตั้งแต่ แฮมเบอร์เกอร์มาถึงปัจจุบัน คือเราถือเอาว่าช่วงนั้นเป็นช่วงล้างไพ่ ที่ใกล้ที่สุดแล้วกัน จะไปเก็บข้อมูลฝรั่งตั้งแต่ต้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปหาจากไหนเนอะ
โดยที่ตัวเลขในกราฟนั้น ไม่ใช่เวฟนะครับ เป็นการจับคู่ช่วงเวลาต่างๆระหว่างค่าเงิน และราคาหุ้น จะได้ดูออกง่ายขึ้นเห็นภาพกว่าครับ
-------------------------------------------------------------------
เราเริ่มกันเลยที่ เลข 1 ซึ่งเริ่มจากวงกลมสีชมพู นั้นไปจนถึงสี่เหลี่ยมสีฟ้า ช่วงนี้คือช่วงแฮมเบอร์เกอร์เลย ช่วงแฮมเบอร์เกอร์เกิดอะไรขึ้นยังไง ไปอ่านเพิ่มได้ที่http://goo.gl/PdPH9j ตรงนั้นจะอธิบายละเอียด
ในที่นี้จะบอกคร่าวๆคือตอนนั้น บริษัท ทางการเงินในอเมริกากำลังแย่หนัก เขาต้องขายสิ่งต่างๆที่เป็นเจ้าของอยู่ทั่วโลกเพื่อเอาเงินกลับไปพยุงบริษัทแม่
ดังนั้นหุ้นในตลาดเซทของไทย ก็ไม่ใช่เทพที่ไหนที่ต้องได้ข้อยกเว้น ฝรั่งเลยขายหนัก ในแบบที่หนักจริงๆ บางคนบอกว่าตอนนี้ฝรั่งขายหนักกว่าแฮมเบอร์เกอร์ ถ้าดูจากตัวเงินน่ะใช่ แต่ดูแค่ตัวเงินมันไม่ถูก เพราะเงินมันค่าเปลี่ยน ยกตัวอย่างเช่น
นาย a มีเงินอยู่ล้านหนึ่ง ได้ซื้อหุ้นไว้ ที่หุ้นลๆ 1 บาท
ทีนี้ให้ลองพิจารณา 2 เหตุการณ์นี้ให้ดีๆ ย้ำว่าให้ดีๆให้เข้าใจๆ
1 นาย a เกิดอยากเอาเงินไปหมั้นสาว เลยขายหุ้นเลยตั้งแต่วันที่ซื้อไป 50% ข้อมูลที่ได้ตรงนี้ คือ "นาย a ขายหุ้นไป ห้าแสนบาท คิดเป็น 50 % ของทั้งหมดที่เขามี"
2 นาย a ได้ถือหุ้นไปอีก 5 ปีโดยหุ้นนั้นราคาขึ้นไปเป็นหุ้นละ 3 บาท ดังนั้นตอนนี้นาย a จะมีหุ้นอยู่ในจำนวนเท่าเดิม แต่มูลค่ารวมของหุ้นจะเป็น 3 ล้านบาท นาย a เลยคิดว่าเอาทุนออกก่อนดีกว่าวุ้ยพร้อมกำไรนิดหน่อย นาย a เลยขายหุ้นออกไปประมาน 35%ของที่มีอยู่ หรือ สามแสนห้าหมื่นหุ้น ดังนั้นข้อมูลที่ได้ตรงนี้คือ "นาย a ขายหุ้นไป หนึ่งล้านบาท คิดเป็น 35% ของทั้งหมดที่เขามี"
เราเอาสองเหตุการณ์นี้มาคิดร่วมกัน แล้วจะเห็นว่าการสรุปว่า นาย a ขายหุ้นไป 1 ล้านบาท ในกรณีที่ 2 นั้นถือว่าเทขายเยอะกว่ากรณีแรกมันไม่ได้ ไม่ถูก เพราะราคาหุ้นมันเปลี่ยน ซึ่งจริงๆแล้วตัวเลขการขายหุ้นที่เห็นเป็นหนึ่งล้านบาท นั้นมันแค่ 35% ของที่เขามี กรณีทั้ง 2 กรณีนี้ กรณีแรกควรถือว่าเป็นการขายหุ้นเยอะกว่ากรณีที่ 2 นั้นเอง เพราะงั้น หุ้นที่ตกตอนนี้ มันยังไม่ได้รุนแรงเท่าแฮมเบอร์เกอร์แน่นอนครับ
กลับมาเข้าเรื่องกราฟ อีกทีออกนอกเรื่องไปไกล จะเห็นว่าในช่วงเลข 1 นี้ เงินบาทอ่อนจากแถวๆ 31 ไป 36 และหุุ้นได้ตกลงจาก 800 ไปเป็น 400 ตรงนี้จะเห็นว่ามูลค่ามันหายไปเลยครึ่งหนึ่ง 50% แบบนี้ถือว่าจัดหนัก ถึงยอดเงินสุทธิที่ขายออกไปจะน้อยกว่าตอนนี้ แต่เขาขายไปในจำนวนที่เยอะกว่าปัจจุบันมากครับ เงินบาทอ่อนเยอะเพราะ ตอนนั้นฝรั่งมันอยากได้เงิน usd หลังจากขายหุ้นแล้ว ก็ต้องเอาเงินบาทไปแลก usd เพื่อส่งเงินกลับไปช่วยที่บ้าน เงินบาทเลยมีความอยากได้น้อยลงนั้นเอง พอเห็นภาพนะ
-------------------------------------------------------------------
ต่อไป จะเป็นช่วงเลข 2 จะเป็นช่วงที่เงินบาท กระโดดแข็งข้าลงมาจาก 36 เป็นประมาน 29-30 บาท ช่วงนี้เป็นช่วงที่แฮมเบอร์เกอร์มันชัดแล้ว การแก้ปัญหาต่างๆ หมดไปแล้ว(ที่ว่าหมดไปแล้วนี้คือ ไม่ใช่หมายถึงว่าแก้ได้นะ หมายถึงว่า อันไหนควรเจ๊งก็เจ็งอันไหนอุ้มได้ก็อุ้ม แบบนี้มันหมดความคลุมเครือแล้ว เงินก็จะสามารถทำงานต่อไปได้ครับ)
ในช่วงที่ 2 นี้เงินบาทแข็งขึ้นมามากเพราะ เงินฝรั่งไหลเข้ามา เพราะว่าบ้านเขามันไม่น่าลงทุน ทุกอย่างในประเทศเขาซึมเป็นส้วมเลย นั้นแหละบ้านเรา ราคาหุ้นแค่ 400 เอง ช่วงเลข 2 นี้ หุ้นจึงขึ้นจาก 400 ไปเป็น แถวๆ 1000 ตรงนี้จะเห็นว่า หุ้นขึ้น+เงินบาทแข็ง เป็นส่วนที่เห็นได้ชัดว่าเงินบาทแข็งเพราะฝรั่งมันเอาเงิน usd มาแลกเพื่อลงทุนในหุ้น การที่มันเข้ามาแลกเยอะ ความอยากได้เงินบาทก็เลยสูง เงินบาทก็แข็งค่า เป็นไปตามหลัก เศรษฐศาสตร์ ทั่วๆไปนั้นเอง
ตรงนี่แหละคือต้นทุนของฝรั่งจริงๆ เราไม่รู้หรอกว่าแน่ชัดแค่ไหน มีจำนวนเท่าไหร่ เอาคร่าวๆแฟร์ ว่าต้นทุนฝรั่ง สมมุติสัก 700 ครึ่งๆแล้วกันครับ พักตรงนี้ไว้ก่อน เดี๋ยวจะกลับมาว่ากัน
-----------------------------------------------------------------
ไปดูช่วงเลข 3 กันต่อ ตรงนี้จะไช่วงพักช่วง correction ถ้าทางเทคนิคก็เวฟ 4 หุ้นตกไปเยอะเหมือนกันนะ แต่สุดท้ายแล้วทิศทางมันก็ยังไม่ชัด เป็นช่วงปรับแผนสำหรับช่วงต่อไปมากกว่า แต่สังเกตุได้ว่า หุ้นกับเงินก็สัมพันธ์กันเหมือนเดิม ในแบบที่ผันผวน
------------------------------------------------------------------
ช่วงที่ 4 เงินบาทแข็งค่าอีกครั้ง นั้นคือฝรั่งเอาเงินเข้ามาเพิ่มอีกรอบ เอาเข้ามาเพิ่มรอบนี้ หุ้นขึ้นไป 500 จุดไปถึง 1600++ เลย ในรอบนี้ถ้าเราคิดง่ายๆเพื่อให้เห็นภาพ(ไม่ใช่ข้อเท็จจริง) โดยเราตีให้ต้นทุนฝรั่ง แบบกลางๆไปอีกทีคือ สัก 1300 ก็แล้วกัน
----------------------------------------------------------------------
จะเห็นว่าฝรั่งชุดใหญ่เลยที่มีต้นทุนอยู่ในช่วงเลข 2 คือเราให้ต้นทุนกลางๆไปประมาน 700 จุดที่ตรงนั้นซึ่งเขาจะได้กำไรในวันที่เขาเริ่มขายนั้นเกินเท่าตัว เรียกได้ว่า ถึงวันนี้ เขาขายออกไปแค่สามสี่สิบเปอร์เซนต์ของที่เขามีอยู่ ตัวเงินยอดขายสุทธิของฝรั่งที่ออกมาก็มหาศาลแล้วเมื่อเราเทียบกับกรณีตัวอย่างนาย a ที่พูดไปข้างบน เราจะเห็นว่า ไอ้หรั่งน่าจะมีให้ขายอีกเยอะ เพราะ ถ้าตอนนั้นเขาซื้อสองแสนล้าน ผ่านไปหลายปี ราคามันขึ้น ขายออกไปสองแสนล้านเหมือนตอนซื้อมานั้น อย่าด่วนถือว่ามันขายหมดแล้วครับ
ให้ลองดูกราฟ แบบไทม์เฟรมกว้างๆ เป็นเดือนๆดู จะเห็นว่า จำนวนหุ้นที่ตกลงตอนนั้ไม่เยอะอะไรมากมายกว่าช่วงพักตัวที่ผ่านมาเท่าไหร่ ตกลงพอๆกับช่วงปี 2011 อาจจะมากกว่าหน่อย เพราะตอนนี้มันตกจากที่สูงกว่า
ค่าเงินบาทนั้นกำลังเทสแนวต้านหรืออย่างน้อยก็อยู่ใกล้แนวต้านในแทบจะทุก ไทม์เฟรม ในหุ้นก็คล้ายกันคือตอนนี้ก็แตะแนวรับสำคัญในทุกไทมเฟรม ตอนนี้จึงย้ำว่าต้องจับตาดูให้มากๆ หุ้นหลุดแนวรับ เงินบาททะลุแนวต้าน ต้องเซฟตัวเองให้มากๆ ในทางตรงกันข้ามถ้ามันไม่ผ่านก็อย่าให้เสียโอกาศ อย่างที่บอก เราจับตาดูครับ
"แต่" ตอนนี้คือเราอยู่ในช่วงที่หุ้นมันขึ้นมานานแล้ว และไอ้ราคาที่ขึ้นมามันก็มาจากเงินที่เก็งกำไรเป็นส่วนมากทั้งนั้น(ความคิดส่วนตัวนะครับตรงนี้) อะไรที่เกิดจากการเก็งกำไร มันจะมี บับเบิล(ไม่ใช่ว่าจะถึงขนาดฟองสบู่แตกเศรษฐกิจล่มนะครับ คือของที่มีการเก็งกำไร ถึงจุดหนึ่งที่คนไม่กล้าเสนอซื้อในราคาแพงกว่านั้นแล้ว มันต้องลง ครับ)
เรามีวิธีการสังเกตุ บับเบิลง่ายๆก็คือดูว่า ราคามันมีคนเสนอซื้อสูงขึ้นอีกหรือเปล่า ในทางเทคนิคก็ดูพวกค่าเฉลี่ยต่างๆหรือ indicator ที่สร้างมาจากค่าเฉลี่ยที่เคยโพสลงแนะนำบ่อยๆนั้นแหละครับ ตรงนี้ถึงหุ้นขึ้นไปอีกก็ขอให้ระวังให้มากๆต่อไปครับ
ที่พูดมานี้ไม่ใช่จะพูดว่าหุ้นจะล่มหรือหุ้นจะพุ่ง เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แนะนำและบอกถึงวิธีการจับตาดู ว่าถ้ามันจะล่ม เราควรดูตรงไหน แล้วจะพุ่งเราควรดูอะไร เพื่อที่เราจะได้มีวิธีการรับมือมันได้ทันท่วงที
สรุปสิ่งที่ต้องดู ค่าเงิน ถ้ามันเลิกยึกยักๆแบบนี้เมื่อไหร่หุ้นก็จะเลิกยึกยักเช่นกัน จะมีเทรนด์แน่นอน ส่วนเทรนด์จะเป็นยังไงให้ดูแบบนี้
ถ้าเงินบาทเบรกขึ้นให้ระวังมากๆเลย ราคาเงินบาทแถวๆนี้ถ้าเบรกขึ้นอาจจะไปไกลเลยครับในระยะยาวหน่อยนะ
ซึ่งถ้าเงินบาทเบรกขึ้น(อ่อนตัว) นั้นหมายถึงฝรั่งมันไม่ถือเงินบาทหรือถือน้อยลง เงินที่จะเอามาซื้อหุ้นก็น้อยลง ดังนั้นมันคือการขายทิ้ง และอาจจะขายนานด้วย
แต่ถ้าเบรกลง(เงินบาทแข็งตัว) นั้นก็หมายถึงฝรั่งชะลอแลกเงินเป็น usd คือเขายังถือเงินบาทอยู่ก็มีสิทธิที่จะกลับเข้ามาอีกรอบ นั้นก็คือ หุ้นมีโอกาสขึ้นอีกครั้ง แต่ให้ระวังมากๆ เพราะเงินบาท สัญญานทางเทคนิคหลายๆตัวมันชี้ว่าถึงแข็งก็อาจจะไปได้ไม่ไกลขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ
ในระดับเดือน macd มันปริ่มน้ำเลย ถ้าขึ้นมาเมื่อไหร่แล้วยืนได้ก็น่ากลัวเหมือนกัน
ทั้งหมดที่เขียนมานี้คือพยายามจะแนะนำให้เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินกับหุ้น และแน่นอนผมเขียนยาว และบางทีอาจจะใช้คำเยิ่นเย้อ ก็เพราะว่าผมพยายามจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ถ้าคนไม่ขี้เกียจอ่านและพยายามอ่าน และทำความเข้าใจผมคิดว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย
อีกประการหนึ่งที่ผมเขียนยาวแล้วพยายามทำให้ละเอียด เพราะอยากจด มันเป็นหนึ่งในไดอารี่ด้วยที่แนะนำให้ทุกคนทำกันในหลายๆครั้งที่ผ่านมานั้นแหละครับ มันช่วยตกผลึกได้ดี เราไม่ลืมว่าเราได้คิดอะไรได้เข้าใจในวันนั้นว่ายังไง แล้ววันนี้ที่คิดไปนั้นถูกไหม ถ้าผิดผิดเพราะอะไร วิธีการพัฒนาตัวเองอันนี้ผมเอาหัวเป็นประกันว่ามันดีจริงๆ มันไปเร็วจริงๆ ทำเถอะๆๆๆ
วันหยุดขอให้มีความสุขครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น