เรื่อง ทาส 5 เวอร์ชั่นต้นเหตุของสัดส่วน 20/80 คนส่วนน้อยเป็นเจ้าของโลกนี้
วิวัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ทำให้สังคมเกิดการแบ่งแยกชนชั้นมาตั้งแต่โบราณ และจะยังคงเกิดต่อไปในอนาคต ถ้าเราไม่คิดไม่รู้ทันวิวัฒนี้สุดท้าย เราจะถูกแยกโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าแนวคิดแบบทางการจะให้ความเท่าเทียมกันแค่ไหน แต่ในทางพฤตินัย การปฏิบัติจริง คนที่ปรับตัวเองไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม จะกลายเป็นทาส หรือ คนที่มีอิสระภาพ แต่ ดำเนินชีวิตในลักษณะทาสเสมอ ลองมาชำแหละว่าแต่ละยุคมีปัจจัยส่วนประกอบอะไรเกิดขึ้นบ้างกันครับ จะไล่ให้เห็นว่าตั้งแต่โบราณมาถึงปัจจุบันนี้เป็นยังไง
ยุคที่1 ในช่วงเวลาเริ่มต้นของวิวัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ เกิดเมื่อคนเราเริ่มรู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ แทนการเก็บของป่าและล่าสัตว์แบบเดิม ผู้ที่เล็งเห็นว่ามนุษย์จะสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ได้แบบมั่นคง ก็จะเริ่มพากันไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ ที่ไหนมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ มีดินดีหญ้างาม ก็จะถูกเลือกเข้าไปอยู่อาศัย สังคมนี้จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีวิทยาการล้ำหน้ากว่ากลุ่มคนที่ ยังดำรงชีพแบบเดิมคือเก็บของป่าหรือล่าสัตว์อยู่ เพราะอาหารพอก็จะมีเวลาคิดสร้างอย่างอื่นมากกว่า ส่วนคนที่หมุนไม่ทันวิวัฒนาการทางสังคมรอบนี้ สุดท้ายจะถูกล่ามาเป็นทาส ในการทำงานเกษตร หรือไม่ก็สูญหายตายจากไปจากประวัติศาสตร์แทบสิ้น
- ขอให้ชื่อยุคนี้ว่า "วิวัฒเกษตร"
- ตัวเอกของยุคคือ ผู้นำชุมชน ผู้นำสังคมเล็กๆนั้นๆ
- ปัจจัยของยุค คือ พื้นที่เกษตร
- เกิดทาส ver 1.0 (แรงงาน นักลงแรง)
ยุคที่ 2 หลังจากวิวัฒนาการทางสังคมยุค วิวัฒเกษตร แล้ว สังคมก็พัฒนามาเรื่อยๆ เมื่อปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ได้ผลผลิต เหลือมากๆ การค้าขายระหว่างสังคมจึงเกิดขึ้น ผู้ที่เล็งเห็นโอกาส จึงพากันไปจับจอง พื้นที่ ที่เอื้อประโยชน์ต่อ การทำมาค้าขาย การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์จะเป็นการก่อสังคมตามริมแม่น้ำ หรือ ปากแม่น้ำ เพื่อให้ง่ายแก่การขนส่งสินค้าไปค้าขายแลกเปลี่ยนตามเมืองใกล้ๆได้สะดวก แน่นอนอีกครั้งหนึ่งที่ต้องมีคนที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันการเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ คนพวกนั้นยังคงปักหลักอยู่พื้นที่ห่างไกล ติดต่อค้าขายกับใครลำบาก เมื่อพวกริมแม่น้ำไปถึงก็หนีไม่พ้นที่จะถูกเกณฑ์มาเป็นแรงงานอีกเช่นเคย
- ขอให้ชื่อยุคนี้ว่า "วิวัฒการค้า"
- ตัวเอกของยุคคือ King
- ปัจจัยของยุค คือ เส้นทางแม่น้ำสำหรับขนผลผลิตไปขาย
- เกิดทาส ver 2.0(แรงงาน นักสร้าง)
ยุคที่ 3 หลังจากการค้าเริ่มขึ้น สังคมได้วิวัฒนาการไปในทางส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันทางการผลิต และการหาตลาดการค้าใหม่ๆ ยุคนี้วิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์เจริญเติบโตอย่างมาก และก็เช่นเคยที่มันมี "ผู้เล็งเห็น" เสมอ ผู้เล็งเห็น ที่เป็นเจ้าของวิทยาการ จะพากันจับจองเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต และยึดตั้ง สถานีการค้า ตามจุดต่างๆในมหาสมุทรทั่วโลก สร้างความมั่งคั่งให้กับสังคมตัวเองอย่างก้าวกระโดด และของคู่กันที่เกิดขึ้น กับผู้เล็งเห็น ก็คือ คนที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันการเปลี่ยนแปลง สังคมที่ไม่เข้าใจวิวัฒนี้สุดท้ายถูกกลืนหายไปจากประวัติศาสตร์ บางชนชาติหายไปกลายเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยของสังคม ที่ต้องส่งสิ่งของหรือแรงงานไปให้สังคมผู้เล็งเห็น
- จะขอให้ชื่อยุคนี้ว่า "วิวัฒอุตสาหกรรม"
- ตัวเอกของยุคคือ ผู้นำประเทศ(คนละบริบทกับ King)
- ปัจจัยของยุค คือ วิทยาการ และเส้นทางสถานีการค้าทั่วโลก
- เกิดทาส ver 3.0(อนานิคม)
ยุคที่ 4 หลังจากอุตสาหกรรมถูกทำให้เจริญก้าวหน้า ก็มีการปฏิวัติย่อยๆขึ้นในยุคนี้ ผลผลิตสำคัญอย่างหนึ่งของยุคนี้คือ บริษัท มันเป็นการซอยสังคมให้ย่อยลงมาเรื่อยๆ (อันนี้จะพูดอีกทีตอนหลัง) ยุคนี้ มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ คือ การ คมนาคม เครื่องบิน รถไฟ รถยนต์ คือปัจจัยหลักๆของยุคนี้ โดยเฉพาะ รถยนต์ที่ช่วยให้สังคมย่อยๆติดต่อถึงกันได้สะดวก ฟอร์ด ทำให้ใครๆก็สามารถเป็นเจ้าของปัจจัยรถยนต์นี้ได้ง่ายๆ การค้าขายย่อยๆจึงเกิดขึ้น ในยุคนี้แน่นอนว่าก็มี "ผู้เล็งเห็น" อีกเช่นเคย คนพวกนี้จะพากันไปจับจองพื้นที่ใกล้ๆ ถนนที่ถูกสร้างขึ้นเพราะปัจจัยรถยนต์ การค้าขายของพวกเขาจะสะดวกรุ่งเรืองอย่างมาก ส่วนผู้ที่ปรับตัวไม่ทัน ไม่สามารถจับจองตั้งหลักปักฐานริมถนนได้ ก็จะถูกพามาเป็น ลูกจ้าง"ท้ายซอย" รับส่วนแบ่งจากแรงงานที่ลงไปให้กับนายจ้าง (ทาสอัตโนมัติ ทางนิตินัยคืออิสระชน แต่ ต่างพฤตินัยคือทาสขายแรง ที่ถ้าไม่ทำจะมีความลำบากในการดำเนินชีวิต)
- จะขอให้ชื่อยุคนี้ว่า "วิวัฒคมนาคม"
- ตัวเอกของยุค คือ บุคคลเจ้าของกิจการ
- ปัจจัยของยุคคือ การคมนาคม โดยเฉพาะถนน
- เกิดทาส ver 4.0 (ลูกจ้าง)
ยุคที่ 5 ยุคปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์ การค้า พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และแทบจะเรียกได้ว่าเกินฝันเกินคาด การค้าขายขนส่ง ในทางปฏิบัติ แทบจะเป็นเพียงแค่ข้อมูลที่ล่องลอยในอากาศ ความรู้วิทยาการ หรือแม้แต่สินค้านั้นลอยอยู่ในอากาศรอบๆตัวเรา สินค้าที่เป็นชิ้นจับต้องได้จำนวนมากล้วนถูกจัดการด้วยวิทยาศาสตร์ อัตโนมัติ ยุคนี้ "ผู้เล็งเห็น" คือคนที่จับจอง "พื้นที่การให้ข้อมูล" คนที่เป็นเจ้าของข้อมูลคือผู้ชนะแห่งยุคอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น บุคคลทั่วไป เจ้าของธุรกิจ ผู้เผยแพร่ศาสนาหรือแนวคิด นักการเมือง ฯลฯ ปัจจัยการผลิตแห่งยุคคือ การโทรคมนาคม หลักๆนั้นก็คือ วิทยุ ทีวี และเด็ดสุดคือ อินเตอร์เน็ต ผู้ที่ปรับตัวไม่ทันกับยุคนี้ จะถูกสั่งให้ทำ สั่งให้ซื้อ หรือสั่งให้เชื่อ ด้วยข้อมูลที่ได้รับจากผู้เป็นเจ้าของข้อมูล ขอเรียกว่า "ทาสทางข้อมูล" เป็นทาสยุคใหม่ล่าสุด เวอร์ชั่น 5
- ขอให้ชื่อยุคนี้ว่า "วิวัฒข้อมูล"
- ตัวเอกแห่งยุค คือบุคคลที่เป็นปัจเจกชน ผู้นำทางความคิด
- ปัจจัยของยุคคือ การโทรคมนาคม โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตสำหรับตอนนี้
- เกิดทาส ver 5.0 (แฟนคลับ ติ่ง อะไรก็แล้วแต่ที่เรียกกันในตอนนี้)
จากยุคทั้ง 5 ยุค เราจะเห็นได้ว่าทุกยุคจะมีผู้ที่ได้รับประโยชน์ ซึ่งก็คือ "ผู้เล็งเห็นการเปลี่ยนแปลง" และผู้ที่จำเป็นต้องจ่ายเป็นค่าตกยุค สองสิ่งนี้คู่กัน คือ "ผู้ไม่เข้าใจและปรับตัวไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลง" ไม่ว่าในทางนามธรรมจะให้ทุกคนเท่ากันเพียงไหน ในส่วนของรูปธรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ สังคมเรามีชนชั้นชัดเจนมาตั้งแต่โบราณแล้วทั้งนั้น
เมื่อเราดูเทรนด์ของยุค จะเห็นว่า วิทยาการ ที่ถูกจ้างให้สร้างขึ้นมาจากทุนนี้ เอื้อประโยชน์ให้ "นาย" หรือผู้ที่ได้รับประโยชน์ มีขนาดเล็กและซอยย่อยลงเรื่อยๆ เริ่มจาก ผู้ได้ประโยชน์คือ สังคมมนุษย์-- >ประเทศ --> ตระกูล(family)บริษัท --> และตัวบุคคล หรือ ปัจเจกชน ในยุคปัจจุบัน(ยุคที่ 5)
แต่ในส่วนของ "ทาส" หรือผู้ที่ต้องจ่ายค่าตกยุค กลับขยาย จากตัวบุคคล --> กลุ่มคน(ตระกูล) -> ประเทศ --> สังคมมนุษย์
จะเห็นว่าขนาดของนายกับทาสที่ขับเคลื่อนโดยวิทยาการจากทุนนิยมนี้ มันผกผันกันไปเรื่อยๆ และนี่คือต้นเหตุของแนวคิดที่ว่า คน 20% เป็นเจ้าของสิ่งต่างๆมากกว่าคน 80% ของโลกนี้ (เอาจริงๆผมเชื่อว่าช่องว่าตรงนี้จะกว้างขึ้นเรื่อยๆ)
เมื่อเข้าใจรายละเอียดตรงนี้ และถ้าคิดว่ามันอาจจะจริงอยู่บ้างอย่างที่เขียนข้างบน ผมคิดว่าเราน่าจะพอได้แนวคิดแนวปฏิบัติ เพื่อป้องกันตัวเอง ไม่ให้เป็นผู้ที่ต้อง "จ่ายค่าตกยุค" หรือ เป็น "ทาส" ได้
ในยุคต่อไปยุคที่ 6 มันยังมาไม่ถึง จึงเดาไปก่อนว่า วิทยาการจากทุนนิยมนี้ อาจจะจะทำให้เราแยกชั้นกันมากยิ่งขึ้น ชั้นระหว่างความเป็นมนุษย์ ความหมายของมนุษย์จะคลุมเครือขึ้น คนที่ เป็นผู้ได้รับ(ผู้เล็งเห็น) อาจจะมีความสามารถฉลาดหลักแหลม ร่างกายแข็งแรงไม่เป็นโรคภัย มีอายุยืนอย่างแปลกประหลาด ส่วนผู้ต้องจ่ายค่าตกยุคก็คือคนที่ยังเป็นมนุษย์แบบเดิม แน่นอนผมคิดว่ามันคือยุค "วิวัฒพันธุ" เอาไว้ค่อยมาเขียนทีหลังว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น และแน่นอนมันแฟนตาซี เวลาเราพูดถึงเรื่องในอนาคตของมนุษย์มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะแฟนตาซีครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น