ตรงนี้ผมจะเชิญมาฟังเรื่องหุ้นย้อนหลัง โดยชวนมองมันผ่านกราฟเทคนิคคอลที่ผมถนัดนี้แหละครับ
ซึ่งผมจะชี้ไปที่วิกฤติแต่ละครั้งในตลาดหุ้นไทยเราว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วตั้งแต่สมัยนั้นๆ เทคนิคคอลสามารถใช้การได้ไหม รวมถึงเล่าเกร็ดเล็กๆต่างๆในช่วงวิกฤตินั้นๆด้วย
แล้วคุณจะตะลึงว่า ทุกวิกฤติมันมีต้นเหตุมาจากอันเดียวกันเลย และคงพอเดาได้ว่าในอนาคตมันก็จะเกิดวิกฤติซึ่งมีต้นเหตุมาจากสิ่งเดียวกันอีกแหละ กิเลศไม่เคยให้บทเรียนกลุ่มคน แต่ในส่วนของปัจเจกชน นั้นคุณจัดการมันได้ครับ
ผมแบ่งช่วงสำคัญๆของหุ้นเป็น 5 ช่วง และขอเริ่มพูดถึงช่วงที่ 1 ก่อนในโพสนี้
ช่วงที่ 1 นี้เริ่มเมื่อมีการก่อตั้งตลาดหุ้นไทยเรา ปี 2518 ไปจบเมื่อราวๆปี 2522 วิกฤตินี้เรารู้จักมันในชื่อ "วิกฤติราชาเงินทุน-วิกฤติราคาน้ำมัน"
ในช่วงนี้กลุ่มโอเปคได้ขึ้นราคาน้ำมัน 30% ประเทศที่ขุดน้ำมันได้ไม่พอใช้อย่างบ้านเราก็รับเคราะห์ตามระเบียบครับ เงินเฟ้อในประเทศพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว บัญชีขาดดุลก็พุ่งตามกัน ตอนนั้นต้องลดค่าเงินบาทลง 9 %
ซ้ำยังมาเจอเหตุการณ์บริษัทเงินทุน ราชาเงินทุนนี้แหละครับก่อปัญหาโดยการปล่อยกู้ให้บริษัทลูก โดยที่ไม่มีอะไรคค้ำประกันเลย
ร้ายกว่านั้นข้อมูลบางที่ยังบอกว่า บริษัทลูกพวกนี้ก็เอาเงินกู้นั้นๆวนมาซื้อหุ้นบริษัทแม่ ทำให้ราคาหุั้นเพิ่มจาก สองร้อยกว่าบาท เป็นสองพันกว่าบาท
การทำแบบนี้ทำให้ราคาหุ้นและผลประกอบการของราชาเงินทุน ขึ้นอยู่กับการปล่อยกูให้บริษัทลูกที่เอาเงินมาซื้อหุ้นของบริษัทแม่ เป็นวงจรธุรกิจที่โคตรอุบาทจริงๆ
ในการเก็งกำไรราคาแบบเต็มสตรีมแบบนี้ สุดท้ายแล้วมันจะมาถึงจุดที่ "ไม่มีคนกล้าเสนอซื้อในราคาที่สูงกว่านั้นอีกแล้ว" หรือที่เราเรียกอีกอย่างว่า "ฟองสบู่แตก" นั้นแหละครับ
พอถึงตรงนี้ ราชาเงินทุนไม่มีเงินสภาพคล่องแล้วครับ หุ้นตกลงมาเหลือสามร้อยกว่าบาท บริษัทลูกที่กู้เงินไปแล้วมาซื้อหุ้นของบริษัทแม่ก็ขาดทุนสิครับจะเอาเงินที่ไหนมาใช้คืน พวกเจ้าหนี้ของบริษัทแม่อีกทอดก็เริ่มวุ่นวาย
เก็บหนี้ไม่ได้ นั้นทำให้สุดท้ายรัฐต้องเข้ามาจัดการ วิกฤติรอบนี้ถ้าจำไม่ผิดจบด้วยมีคนติดคุกครับ
ได้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยพอให้เห็นภาพวิกฤติครั้งนี้ ข้อมูลคร่าวๆเท่าที่หาได้จะประมานนี้ครับ ที่นี้เรามาดูในส่วนของเทคนิคคอลกันบ้าง
จากข้างบนที่ผมเขียนบอกว่าการเก็งกำไรที่อุบาทครั้งนี้ สุดท้ายแล้วมันจะมีราคาที่คนไม่ซื้อต่อ ซึ่งตรงจุดนี้เองคือหายนะที่ผู้บริหาร ราชาเงินทุนไม่เข้าใจ
ลองดูในกราฟที่ 2 ตรงนี้ถ้าใครที่ติดตามกันมานานท่านจะเห็นว่า มันเกิด Divergence ระดับสัปดาห์ นั้นมันมีความหมายว่า ราคาของตอนนี้ เมื่อเทียบกับยี่สิบสามสิบสัปดาห์ก่อน คนมันไม่ไล่ซื้อไล่ราคาอีกแล้ว ตรงนี้ผมย้ำเสมอ ว่ามันคือสัญญานที่ซีเรียสเลยนะ ระดับสัปดาห์เตือนมานี้ต้องโคตรระวังแล้ว (หุ้นไทยตอนนี้ก็มีแนวโน้มเช่นเดียวกัน)
หมายถึงว่ายิ่งราคาเพิ่มสูงขึ้น คนยิ่งขายสวนออกมา พฤติกรรมของราคา ต่อค่าเฉลี่ย ต่อ macd นี้ผมเขียนแบบเห็นภาพชัดๆในบล๊อกแล้วลองไปหาอ่านเพิ่มเอาสำหรับคนที่ยังงงว่าตรงนี้มันสำคัญยังไงนครับ
ลองข้ามไปดูในส่วนของ Elliott wave ท่านก็จะเห็นว่า เวฟ 5 ไปจบที่ 361.8% ของขนาดเวฟ 1 พอดี ซ้ำร้ายกว่านั้น มันดันตรงกับข้อสังเกตุที่มักจะเกิดขึ้นในทฤษฏี Elliott wave ซะด้วย คือ เวฟ 3 จบยาวๆ และเวฟ 1 กับ 5 ขนาดเท่ากันเป๊ะ และในส่วนของการเทสแนวต้านของคลื่น มันก็ดันพอเหมาะพอเจาะ กับตัวเลข Fibo ที่เราใช้กันในตอนนี้อีก
ตรงนี้ผมไม่รู้ว่าเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้วเมืองไทยเรามีนักลงทุนที่ใช้เทคนิคคอล ที่คล่อง Elliott wave คล่อง การดูโมเมนตั้มมากแค่ไหน ซึ่งผมคิดเองว่ามันคงไม่เยอะ (ขนาดทุกวันนี้ก็ยังไม่เยอะ)
ตรงนี้มันเป็นหลักฐานหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า เทคนิคคอลมันไม่ได้เกิดได้เพราะมีคนใช้ แต่มันเกิดขึ้นได้เพราะพฤติกรรมกิเลสของมนุษย์
เมื่อเกือบๆ 40 ปีที่แล้วมีกลุ่มคนไทยยุคแรกๆในตลาดหุ้นได้แสดงร่องรอยและหลักฐานของ "พฤติกรรมกิเลศ" ในตลาดหุ้น ทิ้งไว้ให้เราได้ย้อนกลับไปศึกษาโดยผ่านความรู้เทคนิคคอล
ตรงนี้มันมีประโยชน์ที่เราควรใส่ใจ อาการแบบนี้มันออกมาทุกช่วงวิกฤติที่ผมจะพูดต่อไปในรอบหน้า มันเกิดทุกครั้ง แล้วเราจะมาไล่ดูด้วยกันว่าครั้งหน้านี้มันจะซ้ำรอยเดิมอีกไหมครับ
วันเกิดของผมเมื่อสามปีก่อนผมตั้งเป้าว่าจะสร้างเพจ และจะเขียนไปเรื่อยๆ เป็นเวลา10 ปี ถึงเวลานั้นพอดีผมจะเลิกงานอื่นๆ ทุกอย่าง แล้วมาพูดมาเขียนเรื่องหุ้นนี้แบบเต็มตัว ตอนนี้ผ่านไป 3 ปี ถ้าพูดถึงก็ยังห่างจากปลายทางมากๆ แต่ผลตอบรับดีมากซึ่งผมดีใจจริงๆ
มีการส่งข้อความหลังไมค์เข้ามาสอบถามแลกเปลี่ยนความรู้เรื่อยๆ ซึ่งก็ถือว่าผมไม่ได้เขียนและพูดอยู่ฝ่ายเดียว 555
พรุ่งนี้ครบรอบวันเกิดปีที่ 33 ของตัวผมเองและ เป็นปีที่ 3 ของแรงจูงใจที่ทำทำให้เกิดเพจนี้ ตัวผมคงได้ไปทำบุญและขอปันบุญปันความรู้ให้ทุกท่านต่อๆไปครับ
ติดตามวิกฤติช่วงที่ 2 ในโอกาสต่อไปครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น